จำนวนผู้เข้าชม

หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การเลี้ยงปลา



ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงปลา

การเลือกสถานที่
คุณสมบัติของน้ำที่นำมาใช้เลี้ยงปลา
1.อุณหภูมิ หากอุณหภูมิสูงปริมาณออกซิเจนจะละลายได้น้อย และน้ำที่อุณหภูมิต่ำปริมาณออกซิเจนจะละลายได้สูงปกติปลาชอบอาศัยอุณหภูมิระหว่าง25-32 องศาเซลเซียส
2.ความขุ่น ความขุ่นของน้ำตามธรรมชาติเกิดจากสารอินทรียสาร เช่น ตะกอน โคลนตมซึ่งเป็นอุปสรรรคต่อการสังเคราะห์แสงของพืชน้ำความขุ่นของน้ำจะประกอบด้วย แพลงตอนสีเขียว หากมีมากเกินไปก็จะเป็นอันตรายต่อปลาได้
3.ความเป็นกรดด่าง น้ำที่มีค่าpH อยู่ระหว่าง 6.5-8.5 ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเหมาะแก่การเลี้ยงปลามากที่สุด หากน้ำเป็นกรดมากปลาจะไม่อยากกินอาหาร ความต้านทานโรคต่ำ หากน้ำเป้นด่างมากปลาจะตาย
4.คาร์บอนไดออกไซด์ โดยทั่วไปคาร์บอนไดออกไซด์จะมาจากการหายใจของพืชและสัตว์ และการสลายอินทรียสาร ปลาจะหลีกเลี่ยงไม่อยู่ในน้ำที่มีระดับคาร์บอนไดออกไซด์สูงเกินกว่าระดับ 5 ppm
5.ก๊าซแอมโมเนีย เป็นก๊าซที่มีพิษต่อปลามากเกิดจากเศษอาหารที่หลงเหลืออยู่และมูลต่างๆที่ปลาขับถ่ายออกมา ทำให้ปลาเบื่ออาหาร เคลื่อนไหวช้าลง
6.ก๊าซไข่เน่า เกิดจากการหมักหมมและการย่อยสลายอินทรียสารในก้นบ่อ จะเกิดปัญหานี้ถ้าให้อาหารปริมาณมาก แม้เพียง0.1-0.2 ppmก็อาจทำให้ปลาตายได้

ประเภทของบ่อเลี้ยงปลา
1.บ่ออนุบาล เป็นบ่อสำหรับเลี้ยงปลาอ่อนหลังจากออกจากไข่ใหม่ๆ หรือในระยะที่ยังไม่สามารถป้องกันภัยจากศัตรูได้ บ่อเลี้ยงลูกปลาไม่ควรมีขนาดใหญ่มากนักสามารถใช้บ่อดิน บ่อซีเมนต์ตั้งแต่ขนาดเพียงไม่กี่ตารางเมตรถึง 800 ตารางเมตร
2.บ่อเลี้ยงพ่อแม่ปลา ใช้เป็นบ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ควรจะมีขนาดเนื้อที่ประมาณ400-1600ตารางเมตร ความลึกประมาณ 1.5เมตร
3.บ่อเลี้ยง นิยมบ่อดิน ขนาดบ่อควรขึ้นอยู่กับชนิดของปลาและขนาดปลาที่เลี้ยง

วิธีการสร้างบ่อ
สร้างได้ 2 แบบคือ
1.บ่อแบบขุดดินออก พื้นก้นบ่ออยู่ต่ำกว่าระดับดินเดิม ไม่ต้องทำคันบ่อให้แข็งแรง เหมาะกับพื้นที่ลุ่ม เช่น ในนาข้าว เพียงแต่ขุดดินลงไปแล้วเสริมคันบ่อ
2.บ่อแบบยกคัน สร้างในที่ราบไม่ต้องขุดดินบริเวณกลางบ่อ นำดินที่ขุดมาทำเป็นคันดินโดยรอบอย่างแข็งแรง แบบนี้เหมาะสำหรับการเลี้ยงปลาอย่างยิ่งเพราะสามารถเก็บกักน้ำได้และระบายน้ำได้ดี
พื้นก้นบ่อ จะต้องเรียบไม่มีหลุมแอ่ง ควรจะมีการลาดเทไปทางระบายน้ำออกเพื่อสะดวกแก่การระบาบน้ำ
คันบ่อ เป้นส่วนสำคัญในการเก็บกักน้ำ ต้องมีความแข็งแรง และต้องไม่รั่วซึม ดินที่ขุดขึ้นจากบ่อเพื่อเสริมให้เป้นคันบ่อ ควรสุงพอป้องกันน้ำท่วมในฤดูฝนหรือฤดูที่น้ำมากต้องขุดระยะไม่น้อยกว่า 1.5-2 เมตร จากเชิงลาดของบ่อด้านในเพื่อป้องกันการทรุดตัวของบ่อ คันบ่อควรมีเชิงลาด1:2 ด้านนอก1:1 ด้านที่ต้องปะทะกับลมควรทำเชิงลาดให้มากเพื่อป้องกันการพังทลายของดิน
ทางระบายน้ำเข้าออก อาจจะใช้การสูบ หรือทำทางระบายน้ำออก หากทำเป็นท่อระบาย ควรมีขนาดและอยู่ในจุดที่เหมาะสม โดยท่อน้ำเข้าจะต้องอยู่สูงจากระดับน้ำในบ่อด้านส่วนกว้างและตื้นของบ่อ เพื่อป้องกันไม่ให้ปลาว่ายทวนน้ำ หรือหนีออกจากบ่อ ขณะเดียวกันเมื่อน้ำไหลเข้าบ่อ มวลของน้ำจะไหลจากที่ตื้นไปสู่ที่ลึกทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในทางหมุนเวียน
สำหรับท่อน้ำออก ควรตั้งอยู่ในตำแหน่งฝั่งตรงข้ามของทางน้ำเข้าในส่วนที่ลึกที่สุด เพื่อระบายน้ำส่วนที่ต่ำสุดออกไปก่อน ในกรณีที่ต้องการทำทางน้ำล้น ก็สามารถทำได้โดยเอียงท่อเป็นมุมที่เปิดจากระดับต่ำสุดในบ่อ ถึงระดับน้ำที่ต้องการ
ข้อแนะนำ ทางน้ำเข้าและน้ำออกนี้จำเป็นจะต้องมีตะแกรงป้องกันปลาในบ่อว่ายออกมา และศัตรูนอกอ่างปลาว่ายเข้ามาด้วย

การเตรียมบ่อ
ควรให้พื้นที่บ่อมีโอกาสได้รับแสงแดดและออกซิเจน ซึ่งเป็นการกำจัดปริมาณเชื้อโรคต่างๆในบ่อปลาให้น้อยลงและปล่อยให้อินทรียสารที่หมักหมม อยู่ในบ่อมีการย่อยสลายตัว
บ่อดินขุดใหม่
ต้องมีการวัดค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดิน(ค่าpH)
บ่อดินเก่า
ควรมีการระบายน้ำออกก่อน โดยเฉพาะบริเวณก้นบ่อ ปรับปรุงบ่อส่วนที่ชำรุด

สาระน่ารู้การปรับสภาพดินเปรี้ยวสามารถทำได้โดย ใส่ปูนขาวลงในดิน การใส่ปูนขาวยังต้องขึ้นอยู่กับลักษณะของดินอีกด้วย เช่น ดินเหนียวต้องใช้ปูนขาวมากกว่าดินเหนียวปนทราย ดินทรายใช้ปูนขาวน้อยกว่าดินเหนียวปนทราย
เครื่องมือเครื่องใช้ประจำบ่อปลา
1.เครื่องสูบน้ำ มีหลายชนิดทั้งเครื่องสูบเครื่องยนต์ดีเซล และชนิดใช้กระแสไฟฟ้า ซึ่งจำเป็นแก่การถ่ายน้ำเสีย นำน้ำเข้าน้ำออก
2.อุปกรณ์ลำเลียงปลา ถุงพลาสติก กล่องกระดาษถังออกซิเจน
3.เครื่องมือจับปลา ได้แก่ อวน แห กระชอน เปลย้ายปลา เครื่องชั่ง ถังลำเลียงปลา

หลักการเลี้ยงปลา
1.การเลี้ยงปลาแบบชนิดเดียว หรือแบบเดียว หมายถึง การเลี้ยงปลาชนิดเดียวภายในบ่อเลี้ยง โดยมุ่งหวังผลผลิตสูง ซึ่งควรเลือกปลาที่มีราคาดี หรือมีตลาดรองรับ เช่น การเลี้ยงปลาดุกอุย ปลาดุกด้าน
การเลี้ยงปลาแบบนี้สะดวกต่อการดูแลรักษาคัดปลาจับส่งตลาด เพราะเป็นปลาชนิดเดียวกัน
2.การเลี้ยงปลาหลายชนิดหรือแบบรวม คือ การเลี้ยงปลาหลายชนิดรวมในบ่อเดียวกัน หรือชนิดเดียวแต่มีขนาดต่างกัน และไม่มีอันตรายต่อกัน
ข้อดีของการเลี้ยงปลาแบบรวม สามารถใช้ประโยชน์ได้จากอาหารที่มีในบ่อปลาอย่างเต็มที่ สามารถทยอยจับปลาใหญ่ออกจำหน่ายได้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ทำให้ขายได้ราคาดี เกิดรายได้อย่างต่อเนื่อง
3.การเลี้ยงปลาแบบผสมผสาน ได้แก่ การเลี้ยงปลาผสมกับการปลูกพืช เช่น ปลูกข้าวพร้อมกับการเลี้ยงปลา เลี้ยงปลาในร่องสวนปลูกผลไม้ การเลี้ยงปลาผสมผสานกับการเลี้ยงเป็ดหรือสุกร การเลี้ยงปลาชนิดนี้เป็นการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน เช่น เศษอาหารที่ตกหล่นจากการเลี้ยงสัตว์ สามารถนำกลับมาใช้เป็นอาหารปลา
น้ำในบ่อปลาก็ถ่ายลงนาที่ปลุกข้าวแทนที่จะเทลงสู่แหล่งน้ำต่างๆ ซึ่งเป็นการใส่ปุ๋ยโดยไม่ต้องลงทุน

การคัดเลือกปลาที่จะเลี้ยง ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ
1.เลี้ยงง่าย สามารถกินอาหารธรรมชาติได้อย่างเต็มที่
2.โตเร็ว มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนจากอาหารที่กินมาเป้นเนื้อสูง
3.มีลูกดกและขยายพันธุ์ได้ หาพันธุ์มาเลี้ยงได้ง่าย การวางไข่หลายครั้ง เพาะพันธุ์ได้ง่าย
4.อดทน มีความทนทานสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี
5.สามารถเลี้ยงร่วมกับปลาอื่นได้ ไม่รบกวนซึ่งกันและกัน ควรเป็นปลาที่กินพืชหรือกินแพลงตอน
6.เนื้อมีรสดี ปลามีเนื้อรสชาติดี ปรุงอาหารได้ง่าย
7.มีตลาดจำหน่าย เพราะปลาบางชนิดมีตลาดแคบไม่เป็นที่นิยม
8.ได้ราคาดี ควรจะคุ้มค่าทุนที่เลี้ยงมา

ชนิดของปลา ซึ่งถ้าจำแนกตามตามนิสัยของการกินอาหารปลาสามารถจำแนกได้ ดังนี้
1.ปลาประเภทกินพืช ได้แก่ ปลาจีน ปลาหมอตาล ปลาตะเพียนขาว ปลาแรด ปลาไน ปลานิล ปลาจำพวกนี้ชอบกินอาหารที่เป็นพืช เช่น รำ ปลายข้าว แหนเป้ด เศษผัก หญ้าขน
ปลาประเภทนี้สามารถแบ่งได้เป็น 2 พวก คือ พวกที่กินพืชขนาดใหญ่ ได้แก่ ปลาแรด ปลาสลิด ปลาเฉา ปลาตะเพียน และพวกปลากินพืชขนาดเล็ก ได้แก่ ปลาเล่ง ปลาซ่ง ปลาหมอตาล ปลานวลจันทร์น้ำจืด ปลายี่สกเทศ
2.ปลาประเภทกินเนื้อ ได้แก่ ปลาดุก ปลาบู่ ปลาช่อน สามารถแบ่งได้เป็น 3 พวก คือ พวกที่กินสัตว์ที่ตายแล้ว แต่ยังไม่เน่าเปื่อย เช่น ปลาดุกด้าน ปลาดุกอุย ปลาสวาย พวกที่กินแมลงเป็นอาหาร ได้แก่ ปลาเสือพ่นน้ำ ปลาไน ปลาหมอไทย ปลาเสือตอ
พวกที่กินเนื้อหรือลูกปลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้แก่ ปลาช่อน ปลาสะกุป ปลาไหลนา ปลาชะโด
3.ปลาประเภทกินตะไคร่น้ำ ปลาชนิดนี้จะกินตะไคร่น้ำ สาหร่าย และพืชสีเขียวเล็กๆ ได้แก่ ปลาลิ่น ปลาซ่ง ปลาสลิด ปลายี่สก
4.ปลาประเภทกินเนื้อและพืช ได้แก่ ปลาสวาย ปลายี่สก ปลาเทโพ

การจัดหาพันธุ์ปลามาเลี้ยง หลักเกณฑ์ในการพิจารณาการจัดหาพันธุ์ปลามีดังนี้
1.ควรเป็นลูกพันธุ์ปลาที่มีขนาดความยาวตั้งแต่ 3-5 ซม. ควรจะให้มีขนาดตัวไล่เลี่ยกัน
2.ควรจัดหาจากแหล่งที่มีความเชื่อถือในคุณภาพของพัธุ์ปลา เช่น สถานีประมง
3.ลูกปลาที่นำมาควรมีลักษณะแข็งแรง ลำตัวมีรูปร่างปกติ สีสันสดใส ไม่มีบาดแผล ไม่เป็นโรค

การลำเลียงปลาและลูกพันธุ์ปลา
การลำเลียงพันธุ์ปลาสามารถลำเลียงด้วยถุงพลาสติกซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและง่ายสำหรับการลำเลียงปลาขนาดไม่มาก
น้ำที่ใช้บรรจุนั้น ควรเป็นน้ำที่สะอาดปราศจากคลอรีนหรือเป็นน้ำกรอง ควรเป็นน้ำที่มาจากแหล่งเดียวกันกับที่ไว้ขังปลาให้อดอาหารก่อนการลำเลียง เพราะปลายังไม่เคยชินกับน้ำใหม่ เวลาบรรจุหรือลำเลียงจะมีอาการชอคหรือตื่นเต้นผิดปกติ และอาจถึงตายได้ ปริมาณน้ำที่ใช้บรรจุนั้นควรมีขนาด 1/3-1/4 ของปริมาตรของถุง
ขั้นตอนในการลำเลียงลูกปลา ปฏิบัติดังนี้
1.ควรให้ลูกปลาอดอาหารอย่างน้อย 24 ชม. เพื่อให้อาหารที่มีอยู่ในกระเพาะได้ถูกใช้หมดก่อนที่จะถูกลำเลียง ในระยะที่ถูกขังให้อดอาหารนี้จะสังเกตได้ว่าปลาจะถ่ายออกมาเป็นจำนวนมาก
2.ควรคัดเลือกปลาขนาดเดียวกัน เพราะปลาที่อดอาหารมานั้นอาจแสดงอาการดุร้าย ทำร้ายตัวที่เล็กกว่า อาจถึงขั้นรุมกัดกินปลาที่ตัวเล็กกว่าเป็นอาหารไปเลย
3.นำลูกปลาลงถุงลำเลียง โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
ในระยะห่างเท่าๆกันจะสามารถบรรจุปลาตัวเล็กมาก อุณหภูมิของอากาศ หรือน้ำที่ต่ำกว่า บรรจุปริมาณลูกปลาขนาดเดียวกันได้มากกว่า
4.การอัดออกซิเจน ควรปล่อยก๊าซจากถังมาตามยางซึ่งจุ่มลงน้ำภายในถุง โดยปล่อยให้ฟองอากาศแทนที่อากาศภายในถุง 2 ใน 3 ส่วน ถึง 3 ใน 4 หรือ 4 ใน 5 ส่วน ของความจุของถุง
5.การวางถุงอัดออกซิเจน ควรวางตามแนวนอน เพื่อเพิ่มเนื้อที่ของปลามากขึ้น ในการขนส่งทางไกลนานควรหาทางลดอุณหภูมิหรือรักษาอุณหภูมิเพื่อให้ลูกปลาได้เคลื่อนไหวได้น้อยที่สุด เช่นใช้กล่องโฟมบรรจุถุงพลาสติก

การปล่อยปลาลงเลี้ยง
เวลาที่เหมาะสำหรับการปล่อยปลาคือเวลาเช้าหรือเวลาเย็น ถ้าเป็นเวลาที่อากาศร้อนจัด ควรเอามือตีกวนน้ำในบ่อที่ปลาจะอยู่ใหม่เพื่อให้ความร้อนของผิวหน้าน้ำไม่ต่างจากระดับลึก

การดูแลน้ำในบ่อเลื้ยงปลา
บ่อที่เลี้ยงปลาที่กินอาหารไม่เลือก กินพืชและกินแพลงตอน ควรเติมน้ำให้ได้ระดับ 1-2.50 เมตรอยู่เสมอ หากมีปลาตัวใดที่กินอาหารได้น้อยลงหรือลอยหัวควรจะถ่ายน้ำ เปลี่ยนน้ำอย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้ง อาจสามารถสังเกตได้จากสีของน้ำและการลอยหัวของปลา
การระบายน้ำของบ่อควรระบายส่วนล่างของก้นบ่อซึ่งจะเป็นส่วนที่เน่าเสียมากกว่าบนผิวน้ำ ในกรณีที่บ่อปลาไม่สามารถระบายน้ำได้เลยจะต้องระมัดระวังในการให้อาหารในปริมาณที่พอเหมาะ น้ำจะได้ไม่เน่าเสียเร็ว บางครั้งเราอาจสามารถใส่เกลือแกงลงไปเพื่อช่วยปรับสภาพของน้ำ ในอัตราส่วนประมาณ200-300 กก./ไร่
สาระน่ารู้ เมื่อถึงฤดูน้ำหลากหรือน้ำท่วมเพื่อป้องกันปลาหนีเราควรใช้ตาข่ายป้องกันปลาหนีโดยใช่ตาข่ายป้องกันรอบๆบ่อ
การใส่ปุ๋ยในบ่อปลา
การใส่ปุ๋ยในบ่อปลามีผลต่อพืชน้ำ เพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้แก้พืชน้ำในการเจริญเติบโต เพิ่มธาตุอาหารประเภทแพลงตอนพืช ช่วยปรับสภาพน้ำ เช่นความขุ่นใสและความเป็นกรดด่าง อีกทั้งปุ๋ยบางชนิดยังใช้เป็นอาหารปลาโดยตรงอีกด้วย
ปุ๋ยที่ใช้กับบ่อปลามี 4 ประเภท คือ
1.ปุ๋ยคอก ได้แก่ มูลสัตว์
2.ปุ๋ยพืชสด ได้แก่ ส่วนของพืชผัก และวัชพืชที่มีใยพืชน้อย
3.ปุ๋ยหมัก ได้แก่ ปุ๋ยที่เกิดจากการหมักของเศษพืชผสมกับมูลสัตว์ และแบคทีเรีย
4.ปุ๋ยเคมี ได้แก่ ปุ๋ยวิทยาศาสตร์สูตรต่างๆซึ่งประกอบด้วยธาตุอาหารหลัก คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโปแตสเซียม
อัตราการใช้ปุ๋ย
ปุ๋ยสดจะทำให้มีก๊าซพวกแอมโมเนียละลายอยู่ในน้ำมากเกินไปซึ่งเป็นอันตรายต่อปลา การใส่ปุ๋ยคอกในบ่อใช้วิธีโยนให้กระจายไปทั่วๆบ่อ หากเป็นปุ๋ยพืชสดหรือปุ๋ยหมัก ควรกองสุมไว้ตามมุมบ่อภายในคอกไม้ไผ่ที่ล้อมเป็นกรอบไว้เพื่อไม่ให้ปุ๋ยกระจายไป
ปุ๋ยคอกใช้ในอัตราไม่เกิน 200-250 กก.ต่อไร่ต่อเดือน ปุ๋ยพืชสดไม่เกิน 1200-1500 กก.ต่อไร่และปุ๋ยหมัก 600-700 กก.ต่อไร่
ปริมาณปุ๋ยที่ใส่ได้พอดี สามารถสังเกตได้จากสีน้ำของบ่อ จะต้องเป็นสีเขียว หากน้ำเป็นสีเขียวเข้มหรือออกสีน้ำตาลเข้มแสดงว่าใส่ปุ๋ยคอกมากเกินไปควรเพิ่มน้ำเข้าบ่อ
ข้อควรระวัง
การใส่ปุ๋ยเคมีจะมีปฏิกิริยาค่อนข้างเร็วดังนั้นต้องทำด้วยความระมัดระวังและใช้ปริมาณน้อย

การใส่ปูนขาว
ปูนขาวจะช่วยปรับสภาพความเป็นกรดด่างให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการเลี้ยงปลาระหว่าง 6.5-8.5 ช่วยกำจัดเชื้อโรคและศัตรูปลาและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของปุ๋ยที่ใส่ในบ่อปลา
การใช้ปูนขาวในขณะที่มีปลาอยู่ในบ่อ ควรใช้วิธีละลายปูนในถังน้ำทีละเล็กน้อย แล้วสาดให้ทั่ว ไม่ควรเทเป็นผงๆลงในน้ำ

การแก้ไขน้ำขุ่นและน้ำเค็ม
บ่อปลาที่ขุดใหม่มักจะประสบปัญหาน้ำขุ่นเนื่องจากตะกอนดินที่ถูกพัดพามาหรือภายในบ่อปลาเอง ความขุ่นนี้อาจทำให้ปลาเจริญเติบโตช้า ตะกอนดินอาจไปอุดตันเหงือก
การแก้ไขปัญหาน้ำขุ่นอาจทำได้โดย
1.ใช้สารเคมี เช่น สารส้มหรือสารอื่นๆวิธีนี้จะเป็นการแก้ไขแบบชั่วคราวเท่านั้น และจะทำให้มีปัญหาอื่นๆตามมาอีก เช่น น้ำมีสภาพเป็นกรดมากขึ้น
2.การใช้ปุ๋ยเคมี เช่น ปุ๋ยซุเปอร์ฟอสเฟต ในอัตราประมาณ 2-5 กก.ต่อไร่ต่อเดือน จะช่วยให้เกิดแพลงตอนพืช ทำให้าสารแขวนลอยจับตัวและตกตะกอนขึ้น
3.ใช้ปุ๋ยพืชสด ในอัตราประมาณ1200-1500 กกต่อไร่ การสลายตัวของปุ๋ยพืชสดทำให้เกิดตะกอนขึ้น
การแก้ไขปัญหาน้ำเค็มสามารถทำได้โดย
การใช้แกลบหรือขี้เลื่อยปกคลุมผิวหน้าดินให้ทั่วเพื่อไม่ให้อนุภาคของเลือลอยตัวขึ้นมา โดยโรยให้มีความหนาแน่นประมาณ 5-10 ซม.

อาหารปลา
อาหารปลามีหลายชนิดได้แก่
อาหารธรรมชาติ
1.แพลงก์ตอนพืช กระจายอยู่ทั่วไปใยบ่อ สามารถขยายพันธ์และเจริญได้ดีในบ่อที่มีแสงอาทิตย์ผ่าน
2.แพลงก์ตอนสัตว์ สามารถว่ายและเลื่อนลอยอยู่ในน้ำ เช่น สัตว์เซลล์เดียว ตัวอ่อนของปู กุ้ง
3.ชีวอินทรีย์ที่เป็นสัตว์ เช่น ลูกน้ำ ลูกแมลงปอ ลูกหอย และแมลงน้ำชนิดอื่นๆ
4.สัตว์น้ำก้นบ่อ สัตว์ที่ฝังตัวอนยู่ก้นบ่อ เช่น หนอนแดง ไส้เดือน ลูกหอยขม
5.พืชน้ำ พืชที่เกิดขึ้นในบ่อ
อาหารสมทบ มีทั้งมาจากพืชและสัตว์เช่น
1.ใบและต้นพืช
2.หัวและเมล็ดพืช
3.เศษอาหาร เช่น กากถั่วเหลือง กากมะพร้าว
4.กุ้งหอย
5.ปลาทะเลสด
6.ปลาป่น
7.เศษเนื้อ เลือดสัตว์ เช่น เนื้อปู ปลา หมู อาจใช้เลี้ยงปลาได้โดยตรงหรือผสมกับอาหารอื่น

อาหารสำเร็จรูป เป็นอาหารที่สะดวกต่อการให้ และเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน
1.แบบผง คล้ายกับนมผงแต่มีสารเคลือบพิเศษที่สามารถทำให้อาหารสามารถลอยน้ำได้
2.เม็ดจม ลักษณะเป็นผงและแห้ง มาผสมกับน้ำและไอน้ำแล้วผ่านเครื่องอัดเม็ดให้เป็นรูปร่างต่างๆ
3.แบบเม็ดลอย อาหารชนิดนี้มีอากาศอยู่ข้างในจึงทำให้มัคุณสมบัติสามารถละลายน้ำได้

นิสัยการกินอาหารของปลา
ปลาจะกินอาหารแตกต่างกันไปตามระดับความลึกของน้ำแบ่งออกเป็น
1.ปลาที่กินอาหารตามผิวน้ำ ได้แก่ ปลานิล ปลาตะเพียนขาว ปลาสลิด ปลาเฉา ปลาสวาย ปลาแรด ปลาเสือพ่นน้ำ ปลาช่อน
2.ปลาที่กินอาหารกลางๆน้ำ ได้แก่ ปลาสวาย ปลาแล่ง ปลาหมอตาล
3.ปลาที่กินอาหารตามพื้นท้องน้ำ เป็นปลาที่กินอาหารจำพวกสัตว์หน้าดิน ได้แก่ ปลาหลด ปลาไน ปลาซ่ง ปลาดุก
สาระน่ารู้ นิสัยการกินของปลากับปากของปลา
ปลาที่กินเนื้อ มีลักษณะปากใหญ่ ขากรรไกรอ้าได้กว้าง มีฟันแหลมคม
ปลากินพืช มีลักษณะ มีซี่กรองเหงือกยาวละเอียดกว่าปลากินเนื้อ ปากแคบ ขากรรไกรอ้าได้แคบ
วิธีการให้อาหารปลา
1.ให้ปลากินเป็นเวลา ให้ในเวลากลางวัน
2.ตำแหน่งที่ให้ควรเป็นที่เดิม
3.มีภาชนะรองรับอาหารเป็นที่ๆในบ่อนั้น
4.ก่อนให้อาหารควรให้สัญญาณ เช่นการทำให้น้ำกระเพื่อม
5.ปรับปริมาณอาหารมี่จะให้ทุก 1-2 สัปดาห์

การทำอาหารเลี้ยงปลา
1.เครื่องบด มีอยู่ 2 แบบ คือ แบบอาหารแห้ง เช่นบดถั่ว บดข้าว และแบบอาหารสด บดหรือหั่นผักตบชวาผลที่ได้มาจะดูคล้ายกะปิ
2.เครื่องผสม แบ่งเป็น 2 แบบ คือ
แบบตั้ง รูปแบบคล้ายกรวยกรองน้ำ ภายในมีเกลียวหมุนด้วยแรงฉุด ทำให้วัสดุต่างๆผสมเป็นเนื้อเดียวกัน
แบบนอน คล้ายรูปทรงกระบอกผ่าซีกปิดหัวท้าย วางในแสวนอน ภายในทรงกระบอกนี้จะมีแกนซึ่งล้อมรอบด้วยใบพัดว้อนกันหลายใบ แกนจะหมุนด้วยแรงฉุด ใช้ได้ทั้งวัสดุที่เปียกหรือแห้ง
3.เครื่องอัดเม็ด ลักษณะเป็นกระบอกยาวปลายกระบอกข้างหนึ่งปิดตันและเจาะเป็นช่อง ข้างต่อกับที่สำหรับใส่อาหารไหลลงมาภายในกระบอก มีแกนเป็นเกลียวเพื่อหมุนส่งอาหารให้ออกไปที่ปลายกระบอกมีแกนเป็นเกลียวเพื่อหมุนส่งอาหารออกไปที่ปลายกระบอก ปลากยกระบอกสวมด้วยจานเจาะเป้นรู ส่วนที่ยื่นออกมาจะติดใบมีดเพื่อให้อาหารออกเป็นแท่งๆ ยาวสั้นตามต้องการ อาหารที่ได้ค่อนข้างจะมีความชื้นสูงหรืออาจนำไปผึ่งแดดให้แห้งเก็บเป้นอาหารแห้งไว้ใช้เลี้ยงในวันต่อไป
4.เครื่องชั่ง ใช้ชั่งวัสดุต่างๆตามจำนวนที่คำนวณไว้

พืชผักสวนครัว


พืชผักสวนครัว
การปลูกพืชผักสวนครัว มีความสำคัญเป็นอันดับแรกของชีวิตประจำวัน เพราะใช้เป็นอาหารในครัวเรือนได้ดี ถ้าปลูกมากมีเหลือก็จำหน่ายได้ และสามารถยึดเป็นอาชีพได้ ขอให้มีความยึดมั่นในธรรมชาติ มีความขยัน และอดทน การปลูกพืชผักสวนครัวมีหลักปฏิบัติ 5 ประการ
การเลือกเมล็ดพันธุ์เมล็ดพันธุ์มีความจำเป็นในการเริ่มต้นในการเพาะปลูก จึงควรศึกษาเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดี แข็งแรง ไม่เป็นโรคง่าย คัดสรรแล้วเก็บรักษาไว้อย่างดีก่อนปลูก
การเตรียมดินคุณภาพของดิน จะเป็นตัวกำหนดการเจริญเติบโตของพืช การให้อาหารแก่ดินด้วยปุ๋ยชีวภาพจะทำให้ดินมีชีวิตและช่วยย่อยอินทรีย์วัตถุในดิน ให้ดินอุดมพร้อมแก่การเพาะปลูก
2.1
แปลงใหม่ (ดินไม่สมบูรณ์)

-
ถ้าดินแข็งมาก อาจใช้เครื่องจักรช่วยในการไถก่อน ยกแปลง

-
ดินขาดอินทรีย์วัตถุ ควรแหวะท้องหมู ใส่ปุ๋ยแห้ง และรดด้วยปุ๋ยน้ำ

-
ยกร่องให้สวยงาม โรยปุ๋ยแห้ง ตร.ม. ละ 1 กำมือ รดด้วยปุ๋ยน้ำ คลุมด้วยฟางไว้ 5-7 วัน ปลูกพืชด้วยเมล็ดหรือกล้า



2.2
แปลงเก่า (ดินสมบูรณ์)

หลังจากตัดผักหรือถอนผักออกแล้ว ถอนหญ้า ปรับปรุงแปลง (ไม่ต้องขุด) แล้วเริ่มต้นดังน

-
ใส่ปุ๋ยแห้ง ตร.ม.ละ 1-2 กำมือ ใช้จอบสับเบาๆ ให้คลุกกับดิน

-
คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง

-
รดด้วยปุ๋ยน้ำ 1-2 วัน

-
หมักไว้ 7 วัน ปลูกด้วยเมล็ดหรือกล้า
การปลูก
3.1
การปลูกด้วยเมล็ด

-
นำเมล็ดไปแช่ในน้ำจุลินทรีย์ ประมาณ 30 นาที หากผิวเมล็ดแข็งให้แช่นานหน่อย

-
แหวกหญ้าหรือฟางที่คลุมออก

-
ใช้ไม้กระดานหน้า 1/2 x 2 นิ้ว กดเป็นรอยลึก 1-2 เซนติเมตร

-
หยอดเมล็ดตามรอยที่กดไว้

-
คลุมฟางเหมือนเดิม

-
รดน้ำเช้าเย็น

-
2 วันแรกให้รดด้วยปุ๋ยน้ำช่วงเย็นวันละ 1 ครั้ง หลัง จากนั้น ให้รดปุ๋ยน้ำ 3 วัน / ครั้ง นอกนั้นรดน้ำปกติ



3.2
ปลูกด้วยกล้า

การเพาะกล้ามี 2 ชนิด คือ


เพาะด้วยกะบะ

-
อาจเป็นภาชนะสำเร็จรูป หรือใช้ไม้ 1/2 x 2 นิ้ว หรือวัสดุอื่น ทำเป็นกระบะขนาด 50 x 50 หรือ 50 x 70 หรือ 50 x 100 เซนติเมตร ให้สามารถยกย้ายและวางบนพื้นได้สะดวก

-
ผสมปุ๋ยแห้งกับดินร่วน แกลบเผา อัตราส่วน 1 : 5 : 3 ลงในกระบะ

-
หยอดเมล็ดหรือหว่านเมล็ดให้ทั่วอย่าให้แน่นเกินไป

-
คลุมด้วยหญ้าแห้งหรือฟางบางๆ

-
รดด้วยปุ๋ยน้ำให้ชุ่ม

-
จากนั้นรดน้ำ เช้า-เย็น

-
รดปุ๋ยน้ำช่วงเย็นติดต่อกัน 3 วัน หลังจากนั้นรดปุ๋ยน้ำ 3 วัน/ครั้ง





การเพาะในแปลง

-
นำปุ๋ยแห้งและแกลบเผาผสมในดิน ในแปลง คลุกให้ทั่ว ทำหน้าดินให้ละเอียด

-
หยอดเมล็ด หรือ โรยเมล็ด

-
คลุมด้วยหญ้าแห้งหรือฟางแห้งบางๆ

-
รดปุ๋ยน้ำให้ชุ่มทั่วแปลง

-
รดน้ำ เช้า - เย็น

-
3 วันแรกรดปุ๋ยน้ำช่วงเย็นทุกวัน หลังจากนั้นรด 3 วัน/ครั้ง วันปกติรดน้ำธรรมดา
การดูแลรักษา
-
ผักเกือบทุกชนิดเพาะกล้าก่อนปลูกจะดี เพราะถ้าให้ร่นระยะเวลาในการลงปลูก สามารถปลูกได้หลายรุ่น และดูแลรักษาง่ายยกเว้นพืชผักที่ย้ายกล้าไม่ได้ เช่น แครอท หัวผักกาด การปลูกด้วยกล้า ทำให้ประหยัดเมล็ดพันธุ์ได้ด้วย ดีกว่าปลูกด้วยเมล็ดแล้วต้องถอนทิ้งเมื่อผักแน่นเกินไป
-
ปกติจะใส่ปุ๋ยแห้งครั้งเดียว แต่ถ้าผักมีอายุยาวเกิน 50 วัน ให้สังเกตว่าผักไม่สวย ไม่สมบูรณ์ ก็ใส่ปุ๋ยแห้งได้ระหว่างแถว ไม่ให้ถูกต้นพืชผัก
-
การเตรียมแปลงดี ผักจะเจริญเติบโตเสมอกันทั้งแปลงผักต้นใดมีโรคให้งดน้ำ และรดด้วย EM สด ขยาย ผสมน้ำ 50 เท่า ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง จึงให้น้ำต่อ
-
ผักมีหัวให้ขุดแปลงลึกๆ แหวะท้องหมูบ่อยๆ และใส่ปุ๋ยแห้งผสมให้ดี
-
การรดน้ำ ควรใช้บัวรดน้ำรูเล็กๆ ให้เป็นฝอยได้มากเท่าไรยิ่งดี
-
ไม่ควรรดน้ำด้วยสายยางที่น้ำพุ่งแรงๆ จะทำให้ผักนอนราบ โดยเฉพาะผักกาดขาวจะห่อใบยาวขึ้นหากถูกน้ำซัดแรงๆ ทุกวัน
-
พ่นด้วยสารไล่ศัตรูพืช หรือ สารป้องกันเชื้อรา ทุกๆ 3 วัน


ข้อสังเกตุ เพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืชโดยธรรมชาติ ควรปลูกผักกาดหอม ผักชีใบแหลม ปนกับผักอื่นๆ ปลูกต้นดาวเรือง ตะไคร้หอม ผกากรองไว้เป็นรั้ว และใช้ใบตะไคร้หอมมาคลุมแปลงผักจะป้องกันแมลงรบกวนได้ด้วย
การเก็บผลผลิต - การจำหน่าย
การเก็บผลผลิตควรดำเนินไปตามอายุของผักแต่ละประเภท และหาก ปลูกโดยใช้จุลินทรีย์ชีวภาพดังกล่าวข้างต้น ควรเก็บก่อนกำหนด เล็กน้อยเพราะ
-
ผักธรรมชาติเจริญเติบโตเร็ว
-
ร่นระยะเวลาปลูก ลดแรงงาน และรายจ่าย
-
หากเก็บช้าหรือเกินอายุทำให้ผักมีภูมิต้านทานต่ำเกิดโรคได้
-
การเก็บควรใช้วิธีตัด ยกเว้นผักหัวใช้ถอน
-
ผักที่เป็นผลควรเก็บอย่างปราณีต เพื่อให้โอกาสเกิดผลใหม่อีก เช่น ถั่ว แตง
-
ผักทั่วไปเก็บแล้วล้างให้สะอาด บรรจุถุงเพื่อจำหน่าย
-
ผักที่เป็นฝัก เช่น ถั่ว เก็บแล้วไม่ต้องล้าง ไม่ต้องพรมน้ำ
ข้อควรจำ
ผักธรรมชาติทนทาน ขั้วไม่หลุดง่าย เหี่ยวยาก
ไม่ต้องแช่สารเคมี
น้ำพรมผักหรือแช่ผักควรผสม EM ด้วย
ไม่ควรนำผลผลิตไปขายร่วมกับแผงผักเคมี จะทำให้เสียคุณภาพ ควรเปิดแผงผักปลอดสารพิษหรือผักธรรมชาติ เพื่อสะดวกต่อการเลือกซื้อของผู้บริโภค สามารถรับรองคุณภาพและสามารถกำหนดราคาได้ดีในอนาคต
ช่วงที่เหมาะสมในการปลูกพืชผัก
กุมภาพันธ์ - เมษายน
- ผักชี หอม ผักบุ้งจีน ผักกาดหัว ถั่วฝักยาว แตงกวา มะระ ผักกาดเขียวปลี ผักกวางตุ้ง ผักกาดขาว
พฤษภาคม - กรกฎาคม
- ผักคะน้า กุยช่าย บวบเหลี่ยม ข้าวโพดหวาน หอมแดง
สิงหาคม - ตุลาคม(ปลายฝน)
- ผักชีลาว ผักโขม กุยช่าย ผักกาดขาว ผักกาดหอม พริก มะเขือเปราะ มะเขือยาว
ปลูกได้ทั้งปี
- ผักสวนครัวต่างๆ เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ โหระพา แมงลัก ฯลฯ

อาชีพชาวนา


ชาวนา คืออาชีพทางเกษตรกรรม ในประเทศไทยมักมีความหมายถึงอาชีพปลูกข้าวเป็นหลัก ชาวนาในประเทศไทยนับว่าเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุด เพราะข้าวเป็นอาหาร หลักของคนไทย อาชีพทำนาเป็นอาชีพดั้งเดิมของคนไทย ที่สืบทอดมายังอนุชนรุ่นหลัง โดยส่วนใหญ่แล้วชาวนาจะใช้ชีวิตอยู่โดยสงบเงียบในชนบท

การทำงานของชาวนาจะเริ่มทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำตลอดทั้งปี เพราะหลังจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวประจำปีแล้ว พวกเขาก็จะเริ่มปลูกข้าวนาปรัง หรือพืชเศรษฐกิจอื่นๆ ต่ออีก หรือไม่ก็เลี้ยงปศุสัตว์หรือสัตว์อื่น ๆ เสริม เช่น ปลา และ เป็ด เป็นตัน โดยปกติปลาจะอาศัยอยู่ตามธรรมชาติในนาข้าว ดังนั้น ต้นกล้าและปลาจะเติบโตไปพร้อม ๆ กัน
ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะปลูกข้าวกันทั้งประเทศ และปลูกกันมากในภาคกลาง ซึ่งจนถึงกับบางครั้งคำเรียกภาคกลาง ว่า "อู่ข้าวอู่น้ำ" ของเอเซีย
การทำนาประเทศไทยทำนาได้ทุกภาค การทำนามี 2 ประเภท คือ การทำนาปรัง เเละ นาปี นาปี หมายถึง การทำนาในฤดูฝน ส่วนนาปรัง หมายถึง การทำนานอกฤดูฝน ชาวนาได้ใช้ น้ำจากลำคลอง เเละ เขื่อนระบายน้ำผลผลิต ที่ได้จากการทำนา

รุ้งกินน้ำ


รุ้งกินน้ำ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลังจากฝนตก โดยเกิดขึ้นจากแสงแดดส่องผ่านละอองน้ำในอากาศ ทำให้แสงสีต่าง ๆ เกิดการหักเหขึ้น จึงเห็นเป็นแถบสีต่าง ๆ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า รุ้งปฐมภูมิจะประกอบด้วยสีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง โดยมีสีม่วงอยู่ชั้นในสุดและสีแดงอยู่ชั้นนอกสุด ส่วนรุ้งทุติยภูมิจะมีสีเช่นเดียวกันแต่เรียงลำดับในทิศทางตรงกันข้าม

ภาวะโลกร้อน


ภาวะโลกร้อน (Global Warming)
ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก ค่ะ (Greenhouse gases)
ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ค่ะ
แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี
ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน
ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง

อาหารเพื่อสุขภาพ


ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!

สุภาษิต คำพังเพย

คำพังเพย คือ ถ้อยอุปมาที่กล่าวกระทบเสียดสี ซึ่งมาจากเหตุการณ์เรื่องราวหรือความเป็นไปในวิถีชีวิตของคนรุ่นก่อนเป็นสิ่งควรค่าแก่การเรียนรู้ และจดจำเป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น

เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน : " เบี้ย " ในสมัยก่อนเป็นพวกหอยชนิดหนึ่งเรียกว่า " เบี้ยจั่น " ใช้เป็นเงินแลกเปลี่ยนซื้อของได้ แต่มีราคาต่ำแปลตามตัวอักษรนี้ก็ว่าเก็บเบี้ยที่ตกอยู่ตามใต้ถุนร้าน หรือแผงลอยวางของขายซึ่งตกหล่นอยู่บ้าง เพราะมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนเบี้ยกับของโดยไม่เห็นว่าจะเป็นเบี้ยมีราคาต่ำ สำนวนนี้จึงแปลความหมายว่าถึงจะทำงานเล็กใหญ่ หรือค้าขายอะไรก็ตาม ก็พยายามค่อย ๆ ทำให้มีผลได้แม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังดีกว่าปล่อยให้หลุดลอยไปเสีย.

สำนวนไทย


ความเป็นมาของสำนวนไทย
สำนวนไทย มีอยู่ในภาษาพูดตั้งแต่ก่อนเรามีภาษาเขียนในสมัยสุโขทัย เมื่อเรามีภาษาเขียนจารึกเป็นหลักฐาน ข้อความในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมีสำนวนไทยปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ เช่น
- เจ็บท้องข้องใจ หมายถึง มีเรื่องเดือดร้อน

- ไพร่ฟ้าหน้าใส หมายถึง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข

- เหย้าเรือนพ่อเชื้อเสื้อดำ หมายถึง ทรัพย์สมบัติการที่มีภาษาเขียนครั้งแรก มีสำนวนไทยปรากฏทันที แสดงว่าสำนวนไทยเรามีใช้ในภาษาพูดอยู่ก่อนแล้วในสมัยนั้มีสุภาษิตพระร่วงเกิดขึ้นถึงแม้คำจะไม่ใช่ครั้งกรุงสุโขทัยทั้งหมด แต่ก็เชื่อว่ามีเค้าของเดิมอยู่มาก ซึ่งมีเนื้อหาเป็นสำนวนไทยที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันมากมายเช่น

- เมื่อน้อยให้เรียนวิชา ให้หาสินเมื่อใหญ่

- อย่าใฝ่เอาทรัพย์ท่าน อย่าริอ่านแก่ความ

- ประพฤติตนตามบุรพระบอบ เอาแต่ชอบเสียผิด

- ที่รักอย่าดูถูก ปลูกไมตรีอย่ารู้ร้าง

- หว่านพืชจักเอาผล เลี้ยงคนอย่ากินแรง

ในหนังสือกฏมณเฑียรบาลของเก่ามีสำนวนไทยปรากฏอยู่ เช่น

- ข้าวเหลือเกลืออิ่ม

- ตีให้หลาบปราบให้กลัว

- น้องก็ว่าจะจี่ พี่ก็ว่าจะเผา

นอกจากนี้ในหนังสือวรรณคดีไทยเล่มสำคัญ ๆ ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมา เช่น ลิลิตพระลอ ลิลิตยวนพ่าย มหาเวสสันดรชาดก ฯลฯ ล้วนมีถ้อยคำสำนวนไทยอยู่มากมาย
สำนวนไทย
สำนวนหมวดอักษร ก กบในกะลาครอบ - คนที่ขาดวิสัยทัศน์มองเห็นแต่สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเท่านั้น ตัวอย่าง "เธออยู่แต่ในบ้าน ทีวีก็ไม่ดู หนังสือพิมพ์ก็ไม่ชอบอ่าน เหมือนกบในกะลาครอบ" กรวดน้ำคว่ำขัน - ตัดขาดไม่คบค้าสมาคนด้วยอีกต่อไป ตัวอย่าง "เพื่อนตัวแสบโกงเงินฉันไปเป็นแสนๆ ฉันน่ะกรวดน้ำคว่ำขันเลย"
กระดูกร้องไห้ - การจับตัวฆาตกรมาลงโทษได้หลังจากพบหลักฐานโดยบังเอิญ ตัวอย่าง "คดีฆาตกรรมนี้เหมือนกระดูกร้องไห้เลยนะ ใครจะนึกว่าจะจับตัวฆาตกรได้ เรื่องล่วงเลยมาถึงสิบปีแล้ว"
กระต่ายตื่นตูม - ตื่นกลัวเกินกว่าเหตุ ตัวอย่าง "เธออย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมไปหน่อยเลย เรื่องมันยังไม่เกิด อาจไม่ร้ายแรงอย่างที่คิดก็ได้"
กระต่ายหมายจันทร์ - ชายที่หลงรักหญิงที่สูงส่งกว่าตนและไม่มีทางที่ความรักจะสมหวัง ตัวอย่าง "เขาทำตัวเป็นกระต่ายหมายจันทร์ หลงรักลูกสาวเศรษฐี คงจะสมหวังอยู่หรอก"
กระโถนท้องพระโรง - ผู้ที่ใครๆก็ใช้งานได้ และเป็นที่ระบายอารมณ์ของทุกคน ตัวอย่าง "เอะอะก็มาลงที่ฉัน ฉันไม่ใช่กระโถนท้องพระโรงนะ"
กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ - การทำอะไรสองอย่างพร้อมกันโดยไม่รอบคอบหรือชักช้า อาจเกิดความเสียหายได้ ตัวอย่าง "ปัญหายาเสพติดในสถานศึกษากำลังรุนแรงขึ้น น่าจะมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหานี้ ไม่ใช่มัวแต่รอให้ครูสอนให้นักเรียนตระหนักถึงโทษของยาเสพติด เด็กอาจติดยาไปแล้ว กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้"
กินน้ำใต้ศอก - เสียเปรียบ จำต้องเป็นรอง คอบรับเดนคนอื่น ตัวอย่าง "ถึงจะรักเขามากแค่ไหนฉันก็ไม่ยอมกินน้ำใต้ศอกใคร " กินน้ำเห็นปลิง - ตะขิดตะขวงใจเมื่อจะทำอะไรซักอย่าง ตัวอย่าง "จะให้เราเลือกเขาเป็นศิษย์เก่าดีเด่นได้อย่างไร มันเหมือนกินน้ำเห็นปลิงเพราะรู้ทั้งรู้ว่าเขาฉ้อราษฎร์บังหลวง" เกลือเป็นหนอน - คนในบ้านหรือพวกเดียวกัน คิดคดทรยศ ตัวอย่าง "แผนการที่เราวางไว้ฝ่ายตรงข้ามรู้หมด สงสัยเกลือเป็นหนอน"
สำนวนหมวดอักษร ข ขนทรายเข้าวัด - ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำ หรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวม ตัวอย่าง "คุณหญิงท่านจัดงานคอนเสิร์ตครั้งนี้เพื่อขอรับบริจาคเงินให้มูลนิธิของโรงพยาบาลซึ่งท่านเป็นกรรมการอยู่ด้วย เหมือนขนทรายเข้าวัด ช่วยๆกันไปเถอะ เป็นสาธารณกุศล" ขนมพอสมกับน้ำยา - เสมอกัน ตัวอย่าง "พูดกันตรงๆ ฉันว่าคู่นี้มันขนมพอสมกับน้ำยา อย่าไปเข้าข้างคนไหนเลย" ขนหน้าแข้งไม่ร่วง - ไม่กระทบกระเทือนถึงเดือดร้อน ตัวอย่าง "เธอมีเงินติดกระเป๋าตั้งหลายหมื่น ขอยืมมาซื้อของก่อนซักห้าร้อย ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกน่ะ" ขวานผ่าซาก - พูดตรงเกินไปโดยไม่เลือกกาลเทศะและบุคคล ตัวอย่าง "เขาเป็นคนพูดขวานผ่าซาก เจ้านายจึงไม่โปรด" ข้าวยากหมากแพง - สภาวะขาดแคลนเกิดความอดอยาก ตัวอย่าง "สมัยสงครามข้าวยากหมากแพง ผู้คนอดอยากล้มตายไปจำนวนไม่น้อย" ข้าวใหม่ปลามัน - อะไรที่เป็นของใหม่ถือว่าดี ตัวอย่าง "ได้หัวหน้างานคนใหม่อะไรก้ดีไปหมด กำลังข้าวใหม่ปลามัน" ขี่ช้างจับตั๊กแตน - ลงแรงมากแต่ได้ผลน้อยไม่คุ้มค่า ตัวอย่าง "การประชุมครั้งนี้เหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตน เสียงบประมาณไปมากมายแต่หาข้อยุติไม่ได้" เข้าตามตรอกออกตามประตู - ทำตามธรรมเนียม ประเพณี ตัวอย่าง "ถ้าเขารักลูกจริง ก็ให้สู่ขอตามประเพณี เข้าตามตรอกออกตามประตู พ่อแม่ก็ไม่คิดจะเรียกร้องอะไร" เข้าเนื้อ - ขาดทุน เสียเปรียบ ตัวอย่าง "ขายของต้องคำนวณต้นทุนให้ดีถ้าตั้งราคาผิดอาจต้องเข้าเนื้อ " เขียนเสือให้วัวกลัว - ทำเป็นขู่ให้เสียขวัญหรือเกรงขาม ตัวอย่าง "ไม่ต้องเอาคนใหญ่คนโตมาอ้างกับฉัน อย่ามาเขียนเสือให้วัวกลัว ไม่สำเร็จหรอก"
สำนวนหมวดอักษร ค คนดีผีคุ้ม - คนทำดีมักไม่มีภัย ตัวอย่าง "นายอำเภอแหวนเพชรคนนี้ ดูแลราฎรใกล้ชิดไปหาได้ทุกเวลาทั้งกล้าหาญออกปราบโจรจนราบคาบ พวกอันธพาลหาทางเก็บแต่ไม่สำเร็จคล้าดแคล้วทุกที คนดีผีคุ้ม" คมในฝัก - ผู้มีความรู้ความสามารถ แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาก้ไม่แสดงออกมาให้ปารกฎ ตัวอย่าง "เขาเป็นคนเฉยๆแต่เมื่อแสดงความคิดเห็นออกมาครั้งใดทุกคนยอมรับ นี้แหละคนคมในฝัก" คลุมถุงชน - การแต่งงานที่ผู้ใหญ่จัดให้โดยที่ผู้แต่งงานไม่เคยรู้จักกัน และไม่มีโอกาสเลือกคู่ครองเอง ตัวอย่าง "ทุกวันนี้การแต่งงานแบบคลุมถุงชนไม่มีแล้วเพราะ พ่อแม่บังคับลูกไม่ได้เหมือนสมัยก่อน" คว้าน้ำเหลว - การทำสิ่งใดด้วยความตั้งแล้วไม่สำเร็จ ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ ตัวอย่าง "ข่าวว่ามีกรุสมบัติของสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ซ้อนอยู่ในถ้ำลิเจียจังหวัดกาญจนบุรี ทำให้มีผู้พยายามไปขุดหาสมบัติเหล่านี้หลายครั้งหลายหน แต่ก็คว้าน้ำเหลวทุกที" คว่ำบาตร - ประกาศไม่ยอมคบค้าสมาคมด้วยไม่ร่วมงานด้วย ตัวอย่าง "สหประชาชาติประกาศคว่ำบาตรประเทศนั้นกรณีลุกลามประเทศอื่น " คางคกขึ้นวอ - คนมีฐานะต่ำต้อย พอได้ดีแล้วก็มักแสดงกิริยาอวดดีลืมตัว ตัวอย่าง "แต่ก่อนเคยอยู่สลัมมาด้วยกันแต่พอแต่งงานกับเศรษฐีท่าทางเธอก็เปลี่ยนไป พบหน้าเพื่อนเอก็ทำเชิดหยิ่ง ไม่ยอมทักทายทำเหมือนคางคกขึ้นวอไม่มีผิด" คาบลูกคาบดอก -ไม่แน่ว่าจะเป็นอย่างไหน ก่ำกึ่งกันอยู่ ตัวอย่าง "นักกีฬาคนนั้นชอบเตะฟุตบอลตคาบลูกคาบดอกคือเตะทั้งลูกทั้งคน " คืบก็ทะเลศอกก็ทะเล - อย่าประมาททะเลเพราะอาจเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ ตัวอย่าง "แต่เผอิญคืนนี้หลับไปแล้วให้เกิดวิตกวิจารณ์ขึ้นมาว่าคืบก็ทะเลศอกก็ทะเลพลาดพลั้งเข้าก็จะอด " คู่แล้วไม่แคล้วกัน - คู่ที่เคยสร้างบุญกุศลร่วมกัน เคยเป็นคู่กันมาก่อนย่อมไม่แคล้วคลาดกัน ตัวอย่าง "บ่าวสาวคู่นี้มีอุปสรรคมากมายกว่าจะได้แต่งงานกันแต่ทั้งคู่ก็สามารถฟันฝ่าปัญหาต่างๆมาจนมีวันนี้ได้สมกับคำที่ว่า คู่แล้วไม่แคล้วกัน" คลื่นกระทบฝั่ง - เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างครึกโครม ทำท่าจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่แล้วกลับเงียบหายไป ตัวอย่าง " คดีนี้ทำท่าจะเป็นคลื่นกระทบฝั่ง อีกสักพักคนก็ลืม"
สำนวนหมวดอักษร ง งงเป็นไก่ตาแตก - สับสนจนทำอะไรไม่ถูก ไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น ตัวอย่าง "เขาถูกกล่าวหาอย่างรุนแรงว่าเป็นเหตุยุยงภรรยาคู่นั้นแตกแยกกัน ทั้งๆที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาจึงงงเป็นไก่ตาแตก" งอมแงม - เลิกได้ยาก งอมพระราม - ทุกข์เต็มทน ตัวอย่าง "เขาเป็นครูอาสาที่ต้องไปทำงานสอนหนังสือเด็กชาวเขาในถิ่นถุรกันดารนานถึง10ปี ต้องทนทุกข์ยากอละอุปสรรคต่างๆ อย่างแสนสาหัสเรียกว่า งอมพระรามเลยทีเดียว" งูกินหาง - เกี่ยวกันเป็นวงจนหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ตัวอย่าง "ฉันเบื่อการทวงหนังสือคืนแล้วหละ ทวงคนนี้บอกว่าอยู่ที่คนนั้น ทวงคนนั้นบอกว่าอยู่ที่คนโน้น ไม่สิ้นสุดราวกับงูกินหางเลยทีเดียว" งูๆปลาๆ - มีความรู้เล็กๆน้อยๆ ไม่รู้จริง ตัวอย่าง "จะให้ไปทำงานกับฝรั่งได้อย่างไร ภาษาอังกฤษของฉันงูๆปลาๆ" เงาตามตัว - ผู้ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด หรือ ผลของการกระทำที่เกิดตามติดมาทันที ตัวอย่าง "ตั้งแต่คบกันเขาตามฉันทุกฝีก้าวราวกับเงาตามตัว " เงียบเป็นเป่าสาก - เงียบสนิท เงื้อง่าราคาแพง - ไม่กล้าตัดสินใจ โง่แกมหยิ่ง - โง่อวดฉลาด โง่เง่าเต่าตุ่น - โง่ที่สุด ตัวอย่าง "ครูอย่าไปว่านักเรียนโง่เง่าเต่าตุ่นเชียวนะ เด็กจะเสียกำลังใจ"
สำนวนหมวดอักษร จ จมไม่ลง - เคยรุ่งเรืองใหญ่โต เมื่อตกอับก็ยังทำตัวเหมือนเดิม ไม่ยอมปรับตัวให้เหมาะกับฐานะของตน ตัวอย่าง "สิ้นสามีแล้วภรรยาและลูกๆยังจมไม่ลง ทำตัวเหมือนเดิม ทั้งๆทีไม่มีรายได้อะไร ไม่ช้าคงล้มละลายแน่" จรกาหน้าหนู - เข้าพวกกับใครไม่ได้ จระเข้ขวางคลอง - ทำตัวกีดขวางผู้อื่น จนก่อให้เกิดความรำคราญ จับดำถลำแดง - มุ่งอย่างหนึ่งไปได้อีกอย่างหนึ่ง ตัวอย่าง "ฉันอุตส่าห์เลือกอย่างดีแล้ว ทำไมจึงจับดำถลำแดงไปหยิบของมีตำหนิมาได้" จับตัววางตาย - กำหนดแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง จับปลาสองมือ - ทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกันอาจไม่สำเร็จซักอย่าง ตัวอย่าง "เธอทำงานสำคัญหลายอย่างพร้อมกัน จับปลาสองมือแบบนี้ระวังจะชวดหมด" จับปูใส่กระด้ง - ซุกซนไม่อยู่ในระเบียบ จับพลัดจับผลู - จับผิดจับถูก ไม่ได้ดังใจ จับแพะชนแกะ - ทำอย่างขอไปที ไม่ได้อย่างนี้เอาอย่างนั้น จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน - ยืนยันหาคนทำผิดไม่ได้
สำนวนหมวดอักษร ช ชักใบให้เรือเสีย - พูดหรือทำให้คนอื่นเขวออกไปนอกเรื่อง ตัวอย่าง "ครูกำลังสั่งการบ้าน นักเรียนอย่าชักใบให้เรือเสียซิ เรื่องอื่นไว้คุยทีหลัง" ชักแม่น้ำทั้งห้า - พูดจาหว่านล้อม ยกยอบุญคุณขอสิ่งประสงค์ ตัวอย่าง "จะเอาอะไรก้บอกมาตรงๆ ไม่ต้องชักแม่น้ำทั้งห้า ขี้เกียจฟัง" ชักใย - บงการอยู่เบื้องหลัง ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน - ทุกข์สุข ย่อมเกิดขึ้นสลับกันไป ตัวอย่าง "อย่าเสียใจไปเลย คราวนี้ขาดทุน คราวหน้าคงได้กำไรคนเรา ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน" ชั่วนาตาปี - ตลอดไป ชาติเสือจับเนื้อกินเอง - ไม่เบียดเบียนใคร ชายหาบหญิงคอน - ช่วยกันทำมาหากิน ช้างเท้าหลัง - ผู้ที่ต้องเดินตามผู้นำ อาจหมายถึงภรรยาต้องทำตามสามี ช้างเผือกเกิดในป่า - ผู้มีปัญหาหรือคนดีนั้นหายาก ชุบมือเปิบ - ฉวยโอกาสจากคนอื่นโดยไม่ลงทุน
สำนวนหมวดอักษร ด ดอกพิกุลร่วง ตัวอย่าง " ครูถามอะไรก็ไม่ตอบ กลัวดอกพิกุลร่วงหรือยังไง " ดอกไม้ริมทาง - หญิงที่ชายเกี้ยวพาราสีได้ง่าย ดาบสองคม - สิ่งที่มีทั้งคุณและโทษ ตัวอย่าง " เพศศึกษาเป็นความรู้ที่เหมือนดาบสองคม ถ้าสอนให้ดีเด็กก็จะนำความรู้ไปใช้ได้อย่างเหมาะสม แต่ถ้าไม่ระวังเด็กก็อาจจะเอาความรู้นั้นไปใช้ในทางที่ผิด กลับเป็นโทษแก่ตัวเด็กเองได้ " ดาวล้อมเดือน ตัวอย่าง " ดูนายกของเราสิ มีบริวารล้อมหน้าล้อมหลังเป็นดาวล้อมเดือนเลย " เด็กเมื่อวานซืน มีความรู้และประสบการณ์น้อย เด็กอมมือ - ไม่ประสีประสา เด็ดดอกฟ้า - ได้หญิงสูงศักดิ์มาเป็นภรรยา ได้น้ำได้เนื้อ - ได้งานมาก ได้หน้าได้ตา - ได้ชื่อเสียงเกียรติยศ ดินพอกหางหมู - การงานที่คั่งค้างขึ้นเรื่อยๆ
สำนวนหมวดอักษร ต ตกนรกทั้งเป็น ลำบากแสนสาหัส ตักน้ำรดหัวตอ - แนะนำพร่ำสอนเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล ตกเป็นเบี้ยล่าง ตกเป็นรอง ตบตา ลวงให้เข้าใจผิด ตบหัวลูบหลัง - ทำหรือพูดให้กระทบกระเทือนใน ในตอนแรก แล้วปลอบใจตอนหลัง ต่อปาก ต่อคำ เถียงกันไม่จบสิ้น ต้นร้าย ปลายดี - ตอนแรกไม่ดี ไปดีเอาตอนหลัง ตัวเป็นเกลียว ขยันทำงาน ตาร้อน - อิจฉาริษยา ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ - ใช้จ่ายทรัพย์มากมายโดยไร้ประโยชน์
สำนวนหมวดอักษร น น้ำขึ้นให้รีบตัก - มีโอกาสดีควรรีบทำ น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง - พูดมากแต่ได้เนื้อหาสาระน้อย น้ำท่วมปาก - พูดไม่ได้เพราะความจำเป็นบังคับ น้ำน้อยแพ้ไฟ - ฝ่ายข้างน้อยย่อมแพ้ฝ่ายข้างมาก น้ำผึ้งหยดเดียว - สิ่งเล็กน้อยก็ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ได้ น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า - คนเราจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน นิ้วไหนร้ายตัดนิ้วนั้น - คนใดไม่ดีก็ตัดออกไปจากหมู่คณะ เนื้อเต่ายำเต่า - การเอาทรัพย์สินส่วนตัวที่เป็นกำไรหรือดอกเบี้ยกลับไปลงทุนต่อไปอีกโดยไม่ต้องใช้ทุนเดิม นกน้อยทำรังแต่พอตัว - การจะทำสิ่งใดควรทำแต่พอสมฐานะของตนเอง น้ำลดต่อผุด - เมื่อหมดอำนาจความชั่วที่ทำไว้ก็ปรากฏ
สำนวนหมวดอักษร ป ปล่อยเนื้อปล่อยตัว - ไม่สนใจจะแต่งตัว หรือไม่สงวนตัว ปล่อยเสือเข้าป่า - ปล่อยศัตรูไปอาจกลับมาทำร้ายภายหลัง ปลาข้องเดียวกัน - คนที่อยู่ร่วมกัน หากมีคนหนึ่งทำไม่ดี ก็พลอยให้คนอื่นเสียไปด้วย ปลาตายน้ำตื้น - คนที่ทำพลาดเพราะเหตุเล็กน้อย ปลาหมอตายเพราะปาก - คนที่พูดพล่อยจนเป็นอันตรายแก่ตนเอง ปลาใหญ่กินปลาเล็ก - คนที่มีอำนาจหรือมีกำลัง เอาเปรียบผู้อ่อนแอกว่า ปากบอน - คนที่ชอบพูดฟ้องเรื่องคนอื่น ปอกกล้วยเข้าปาก - ทำได้ง่ายหรือสะดวก ปั้นน้ำเป็นตัว - โกหก สร้างเรื่องขึ้นมาโดยไม่มีมูลความจริง ปากว่าตาขยิบ - พูดว่าไม่ดีแต่กลับสนับสนุนหรือทำสิ่งที่ว่าไม่ดีนั้น
สำนวนหมวดอักษร ม มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก - กลับกลอกจนคนอื่นจับไม่ได้ มะนาวไม่มีน้ำ - พูดเสียงแข็งกระด้างอย่างไม่มีน้ำใจไมตรี มัดมือชก - ใช้วิธีบังคับให้จำยอม มาเหนือเมฆ - ใช้วิธีการที่เหนือผู้อื่น ม้าดีดกะโหลก - มีกิริยาท่าทางกระโดกกระเดกลุกลนไม่เรียบร้อย เมื่อพีเนื้อหอม เมื่อผอมเนื้อเหม็น - เวลารวยคนเข้ามาห้อมล้อมประจบประแจง เวลาจน คนพากันตีตัวออกห่าง มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ - ไม่ช่วยทำงานแล้วยังกีดขวาง ทำให้งานไม่ก้าวหน้า ไม่รู้จักหัวนอนปลายตีน - ไม่รู้พื้นเพ ความเป็นมา ไม่ดูดำดูดี - เลิกเกี่ยวข้องด้วย มากหน้าหลายตา - มากมาย
สำนวนหมวดอักษร ร รวบหัวรวบหาง - รวบรัดให้สั้น ฉวยโอกาสเมื่อมีช่องทาง รอดปากเหยี่ยวปากกา - รอดพ้นจากอันตรายมาได้ รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี - จะเลี้ยงดูลูกให้ดีต้องดูแลใกล้ชิด ไม่ปล่อยปละละเลย รักพี่เสียดายน้อง - ลังเลใจ ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกอย่างไหนดี เรือล่มในหนองทองจะไปไหน - คนในเครือญาติแต่งงานกัน ทำให้ทรัพย์มรดกไม่ตกไปอยู่กับผู้อื่น เรือล่มเมื่อจอด - มีอุปสรรคเมื่อใกล้จะสำเร็จหรือเสียคนเมื่อแก่ รีดเลือดกับปู - เคี่ยวเข็ญหรือบังคับเอากับผู้ที่ไม่มีทางจะให้ รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง - ตนเองทำไม่ถูกไม่ดี แต่กลับไปซัดโทษเอาผู้ร่วมงานหรือผู้อื่น ราชสีห์สองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ - คนสองคนที่ต่างก็มีอำนาจ หรืออิทธิพลยิ่งใหญ่เท่ากัน ย่อมจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ รู้หลบเป็นปลีก รู้หลีกเป็นห่าง - การรู้จักหลบหลีกเอาตัวรอดจากภัยต่าง ๆ ไปได้
สำนวนหมวดอักษร ล ลงรอยกัน - เข้ากันได้ ล้ำหน้า - เกินเลยไปกว่าที่ควร เล็กพริกขี้หนู - เล็กแต่มีความสามารถ ล้วงคองูเห่า - คนที่ทำอะไรองอาจล่วงล้ำ หรือกล้าเข้าไปทำอะไรแก่ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก - คนที่ดีแต่พูดแต่จะให้ทำจริง ๆ กลับทำไม่ได้ เลือดขึ้นหน้า - โมโห ลิงหลอกเจ้า - คนที่ต่อหน้าผู้ใหญ่ก็ทำตัวเรียบร้อย แต่ลับหลังซนเป็นลิงเป็นค่าง ลางเนื้อชอบลางยา - แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน เลี้ยงช้างกินขี้ช้าง - ผู้ที่ทำหน้าที่อะไรก็ตามแต่แล้วพลอยได้มีส่วนผลประโยชน์จากหน้าที่ ที่ตนทำอยู่นั้น โดยไม่บริสุทธิ์นัก หรือไปในทำนองที่ไม่ชอบธรรม ลงเรือแปะ ตามใจแปะ - เมื่อไปอยู่กับใคร หรือไปอาศัยอยู่บ้านใคร ก็ต้องเกรงใจหรือยอมทำตามเขา
สำนวนหมวดอักษร ว วัวแก่กินหญ้าอ่อน - ชายแก่ที่มีภรรยาสาวคราวลูกคราวหลาน วัวเคยขา ม้าเคยขี่ - ชายหญิงที่เคยมีสัมพันธ์กันมา ย่อมรู้จิตใจกันดีอยู่แล้ว. วัวไม่กินหญ้าอย่าขมเขา - อย่าบังคับหรืออย่าฝืนให้เขาทำอะไรในสิ่งที่เขาไม่สมัคใจ. วัวสันหลังขาด - คนที่มีอะไรพิรุธหรือมีการกระทำไปแล้ว ในทำนองไม่สู่ดี วัวหายล้อมคอก - เมื่อเกิดเรื่องเกิดราวถึงขั้นเสียหายขึ้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาคิดแก้ภายหลัง วัวลืมตีน - สำนวนนี้ ใช้เป็นความหมายเปรียบเทียบถึงคนที่ไม่เจียมตัว หรือมีศักดิ์ต่ำแต่คิดเห่อเหิมจะทำตัวให้เทียมหน้าเขา วัวเห็นแก่หญ้า ขี้ข้าเห็นแก่กิน - คนที่ตะกละตะกลาม หรือเห็นแก่กินอย่างเดียว มักมุ่งหมายถึงคนชั้นต่ำที่ทำอะไรเห็นแต่ได้เกินไป. วันพระไม่มีหนเดียว - วันข้างหน้ายังมีโอกาส ไว้ใจทาง วางใจคน จนใจเอง - อย่าไว้ใจทั้งในเรื่องหนทาง หรือการเดินทางและในเรื่องจิตใจของคนอื่น ๆ ให้มากนัก ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง - ว่าหรือสั่งสอนคนอื่นไม่ให้ทำ แต่กลับทำเอง
สำนวนหมวดอักษร ส สอนจระเข้ว่ายน้ำ - การชี้ทางหรือสอนให้คนที่เป็นอยู่แล้วให้เก่งหรือชำนาญขึ้นไปอีก แต่มักมุ่งหมายโดยเฉพาะถึงการสอน หรือแนะนำคนชั่วประพฤติไม่ดีส่วนมาก. สอนหนังสือสังฆราช - การสอนผู้ที่มีความรู้ดีเป็นเยี่ยมอยู่แล้ว โดยที่ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นรู้หรือชำนาญดีกว่าตนเสียอีก สัญชาติสุนัข อดขี้ไม่ได้ - คนที่ประพฤติชั่ว ถึงจะเอามาอบรมเลี้ยงดูดีอย่างไร ก็อดประพฤติเช่นเดิมไม่ได้ สมภารกินไก่วัด - เป็นสำนวนเปรียบเทียบที่มุ่งหมายโดยเฉพาะ ถึงผู้ชายที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหรือผู้บังคับบัญชาที่มีหน้าที่ปกครองดูแลหญิงสาวหลาย ๆ คนภายในบ้านหรือภายในวงงาน แล้วก็ถือโอกาสเกี้ยวพาเอาหญิงสาวเหล่านั้น สร้างวิมานในอากาศ - การสร้างความฝันว่าตนเองจะต้องได้เป็นใหญ่หรือ มีเงินทองมั่งมีขึ้นแล้วจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ให้สมกับที่มีเงิน โดยที่ความใฝ่ฝันนั้นยังไม่แน่ว่าจะได้รับสมจริงหรือเปล่า สาดน้ำรดกัน - การทะเลาะทุ่มเถียงด่าทอโต้ตอบกันไปมา สาวไส้ให้กากิน - การที่เอาความลับหรือเรื่องไม่ดีของตนเองหรือของพี่น้องของตนไปเปิดเผยให้คนอื่นฟัง โดยไม่ได้ประโยชน์อะไรแก่ตนเองเลย. สิบเบี้ยใกล้มือ - อะไรที่ควรจะได้และอยู่ใกล้หรือเป็นสิ่งที่คว้าได้ง่าย ก็ควรจะคว้าไว้ก่อนดีกว่าที่จะมองข้ามไป สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น - การได้เห็นย่อมน่าเชื่อถือกว่าคำบอกเล่า
สำนวนหมวดอักษร ห หมากัดอย่ากัดหมา - คนชั่ว คนชั้นต่ำ หรือพวกอันธพาลคิดร้ายหรือประทุษร้ายเราอย่างใดอย่าทำตอบ แต่ควรหลีกเลี่ยงไปเสีย. หมาเห่าใบตองแห้ง - คนที่ชอบเอะอะโวยวายเป็นที่อวดตัวว่า ตนเก่งกล้า แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นคนขี้ขลาด จะหาม เอาคานเข้ามาสอด - การที่เข้าไปขัดขวางผลประโยชน์ หรือกิจการของคนอื่นที่เขากำลังจะสำเร็จอยู่แล้ว หุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว - การทำประชดหรือทำแดกดันที่กลับเป็นผลร้ายแก่ตนเอง เห็นกงจักรเป็นดอกบัว - เห็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นดี หรือเห็นผิดเป็นชอบ เห็นขี้ดีกว่าไส้ - เห็นคนอื่นดีกว่าญาติพี่น้องของตน หว่านพืชหวังผล - การลงทุนทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็ย่อมจะต้องหวังผลประโยชน์ตอบแทน เหยียบเรือสองแคม - คนที่ทำอะไรไม่ซื่อตรง และเป็นคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เหยียบเต่าเต็มตีน - ทำอะไรให้มั่นคงอย่าให้เกิดมีข้อผิดพลาดถึงเสียงานเสียการได้ หาเหาใส่หัว - หาความลำบากมาใส่ตัวเองหรือเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตัวเอง
สำนวนหมวดอักษร อ อดเปรี้ยวกินหวาน - ให้ละทิ้งสิ่งที่ไม่ดีนั้นเสีย เพื่อรับเอาสิ่งที่ดีเข้าไว้ ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาอดใจรออยู่นาน อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น - เมื่ออาศัยอยู่บ้านใคร ก็อย่าอยู่เปล่า ควรช่วยทำงานทำการให้เป็นประโยชน์ต่อเขาบ้าง อัฐยายซื้อขนมยาย - การได้รับประโยชน์หรือได้รับทรัพย์จากผู้ใดผู้หนึ่ง แล้วเอาทรัพย์นั้นมาใช้กับผู้นั้นต่อ เอาจมูกคนอื่นมาหายใจ - อาศัยความคิดหรือแรงของคนอื่นมาทำงานให้ตน เอาใจเขามาใส่ใจเรา - สำนวนนี้ มุ่งให้คำนึงว่า ควรจะมีความเห็นใจซึ่งกันและกัน หรือนึกถึงอกเขาอกเราบ้าง ว่าตัวเราจะรู้สึกอย่างไร ถ้าเขาทำอย่างนั้นกับเรา. เอาทองไปรู้กระเบื้อง - ลดตัวเองลงไปต่อสู้กับคนที่ต่ำศักดิ์กว่า โดยไม่คู่ควรกัน อ้อยเข้าปากช้าง - สิ่งที่หลุดลอยไปเป็นของคนอื่นแล้ว ก็ย่อมจะสูญหรือไม่มีทางจะได้คืนมาง่าย ๆ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ - รู้เท่าทันคำพูดที่พูดออกมา อาบน้ำต่างเหงื่อ - ทำงานหนัก อาบน้ำร้อนมาก่อน - เกิดก่อนจึงได้รู้เห็นสิ่งต่างๆมามากกว่าคุณค่า
ภาษาพูดหรือภาษาเขียนของชนแต่ละชาติย่อมจะมีอยู่ด้วยกันสองอย่างคือ พูดตรงไปตรงมาตามภาษาของตนเอง เป็นภาษาพูดที่ต่างคนต่างฟังเข้าใจกันได้ง่าย พูดเป็นชั้นเชิง มีการใช้โวหารในการพูดและการเขียน ทั้งนี้เพื่อให้ความหมายช้ดเจน หรือขยายความออกไป หรือเพื่อให้เกิดความไพเราะขึ้น เป็นภาษาที่เราเรียกว่า "เล่นลิ้น" หรือ" พูดสำบัดสำนวน" สำนวนเหล่านั้นจะแสดงความหมายอยู่ในตัวประโยคนั้นเอง

มนุษย์สัมพันธ์ทีดี


1. จริงใจ ความจริงใจของเรา ต่อเพื่อนร่วมงาน เหมือนพลังงานคลื่นพิเศษที่คนอื่น ๆ สัมผัสได้ เขารู้หรอกว่าเราจริงใจหรือเสแสร้ง ถ้าเราไม่จริงใจเขาก็จะไม่ไว้วางใจในการสร้างสัมพันธ์อันดีกับตัว เรา

2. ไร้ริษยา มัวเป็นคนขี้อิจฉา อยู่ใกล้ใครเราก็ไม่เป็นสุข เพราะเขารู้ว่าเราต้องหาทางแข่งดีแข่งเด่นกับเขา ไม่เชือดเฉือนด้วยวาจา ก็จะคอยหาโอกาสปัดแข้งปัดขา แล้วอย่างนี้เขาจะมาคบกับเราอย่างสนิทใจล่ะ

3. อย่าป่วนจิต เป็นมาตามเจ้าปัญหาเรื่องมากจุกจิก ใครที่ต้องร่วมงานกับคุณต้องกุมขมับตาม ๆ กัน เขาคงไม่อยากสูงสิงด้วยแน่ ๆ สู้ไปสมาคมกับคนที่ทำงานง่าย ๆ สบาย ๆ ดีกว่ากันตั้งเยอะ

4. คิดมีน้ำใจ ถ้าเห็นใครเหน็ด เหนื่อยควรให้ความช่วยเหลือ ได้ทั้งออกแรงงานและออกแรงสมองช่วยคิดสลับกันไปตามโอกาสเหมาะ ๆ

5. ไม่นินทาชาวบ้าน ยิ่งชวนเพื่อสุม หัวนินทาคนอื่น จะยิ่งสร้างความเกลียดชังกันให้เกิดขึ้นระหว่างเพื่อร่วมงาน คุยถึงคนอื่นดี ๆ เข้าเถิด แล้วจิตใจจะแจ่มใสไปเอง

6. อ่อนหวาน และอ่อนโยน ต่อให้เราเป็นคนเก่งกาจที่สุดในบริษัท แต่แข็งกระด้าง พูดจาไม่เข้าหูคน นึกถึงแต่ตัวเอง มนุษย์ที่ไหนก็ไม่อยากเข้ามาสานสัมพันธ์ด้วย ทุกคนต้องการความอ่อนหวานสักนิดก็ชื่นใจ

วิธีเลิกเหล้า


1. ตั้งใจจริง การเลิกเหล้าไม่ใช่เรื่องยาก ถ้ามีความตั้งใจความสำเร็จย่อมไม่ไกลเกินเอื้อม
2. ตั้งเป้าว่าจะเลิกเหล้าเพื่อใคร เพราะเหตุใด เช่น เพื่อพ่อแม่...เพราะการดื่มเหล้าของเราทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจเพื่อตัวเอง... จะได้มีสุขภาพดีแถมมีเงินเก็บมากขึ้น เพื่อลูกและครอบครัว...เพราะเหล้า เข้าปากทีไร เป็นต้องทะเลาะกันทุกที ถ้าเลิกเหล้าก็คงทะเลาะกันน้อยลงครอบครัวจะได้มีความสุข มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น...เป็นต้น
3. หยุดทันที! คนที่มีแนวคิดว่าเพียงแค่ดื่มเพื่อความสนุกสนานหรือต้องการเข้าสังคม เมื่อตั้งใจที่จะเลิกเหล้า ก็ต้องพยายามหักห้ามใจ และหยุดดื่มทันที
4. ปรับเปลี่ยนนิสัยการดื่ม สำหรับคนที่เคยดื่มเหล้าเป็นประจำอาจเลิกทันทีได้ยาก ให้ลองใช้วิธีดังต่อไปนี้ ซึ่งอาจช่วยให้ดื่มเหล้าน้อยลงได้ เช่น ดื่ม เหล้าพร้อมกับการรับประทานอาหาร หรือ หมั่นดื่มน้ำเปล่าควบคู่ไปด้วยระหว่างการดื่มเหล้า เปลี่ยนขนาดของแก้ว จากแก้วใหญ่เป็นแก้วเล็กดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่ำกว่าทดแทนไปก่อนใน ระยะแรก
5. ตั้งเป้าว่าจะลดปริมาณการดื่ม เช่น จากที่เคยดื่มวันละ 8 แก้ว ก็อาจจะลดปริมาณการดื่มลงไปเรื่อยๆ จนเหลือวันละ 1 แก้ว และไม่ดื่มเลยแม้แต่แก้วเดียวในที่สุด
6.หลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ ความเสี่ยงในที่นี้คือ สถานการณ์หรือสถานที่ตลอดจนปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้เราดื่มเหล้าได้ง่ายขึ้น ได้แก่ ช่วงเวลาหลังเลิกงาน วันเงินเดือนออก วาระหรือโอกาสพิเศษต่างๆ การไปเที่ยวผับหรือร้านอาหาร สถานบันเทิง การชักชวนจากกลุ่มเพื่อนที่ดื่มจัด รวมถึงสาเหตุต่างๆ ที่นำไปสู่อาการเหน็ดเหนื่อย ทดท้อ เหงา เศร้า เครียด ฯลฯ
7. เมื่อมีเวลาว่าง ให้ทำกิจกรรมอื่นที่สร้างสรรค์แทนการดื่มสังสรรค์ ทำกิจกรรมเพื่อสุขภาพหลังเลิกงาน เช่น ออกกำลังกาย - เล่นกีฬาฉลองวาระพิเศษต่างๆ ด้วยแนวปฏิบัติแบบใหม่ เช่น ไปทำบุญแทนการดื่มเมื่อรู้สึกเหงา เศร้าหรือเครียด ให้หากิจกรรมสร้างสรรค์และจรรโลงจิตใจทำทันที อาทิ อ่านหนังสือ ฟังเพลง ชมภาพยนตร์ ตลอดจน เล่นกีฬา ฯลฯ
8. ฝึกปฏิเสธให้เด็ดขาด เช่น ถ้าเพื่อนคะยั้นคะยอให้ดื่ม ให้บอกเค้าไปว่า " หมอห้ามดื่ม , ไม่ว่างต้องไปทำธุระ ฯลฯ..."
9. หาที่พึ่งทางใจรวมถึงหากำลังใจจากคนรอบข้าง เช่น พ่อแม่ คนรัก ลูก หรือเพื่อนสนิท ที่สามารถปรึกษาหารือให้คำแนะนำดีๆ แก่เราได้ และพร้อมให้ความช่วยเหลือเมื่อเราต้องการ นอกจากนี้การพูดคุยหรืออ่านประสบการณ์ของคนที่เลิกเหล้าสำเร็จ ก่อนจะพบกับความสวยงามของชีวิตย่อมช่วยสร้างกำลังใจให้กับเราได้มากอย่างที เดียว
10.ปรึกษาหน่วยงานช่วยเหลือ หากไม่สามารถเลิกเหล้าด้วยตัวเองควรปรึกษาหน่วยงานช่วยเหลือดังต่อไปนี้

วิธีเลิกบุหรี่



วิธีเลิกบุหรี่ใน 5 วัน
เทคนิคของการเลิกสูบบุหรี่ใน 5 วันนี้ อยู่ที่หลักการคือ "การเลิกโดยเด็ดขาดทันทีทันใด"
ถ้าไม่ทำเช่นนี้การอดบุหรี่จะไม่ได้ผล เหตุผลก็คือ ทนทรมานได้สำเร็จใน 2-3 วัน ยังดีกว่าทรมานอย่างช้าๆ และช่วงเวลา 3 วันแรก เป็นช่วงที่ลำบากใจที่สุด หลังจากผ่านพ้นไปได้โอกาสเลิกบุหรี่จะเป็นไปได้สูงมาก แผนการเลิกบุหรี่ใน 5 วัน มีรายละเอียดดังนี้
1. หลักการใช้น้ำภายนอก
ขอให้ท่านอาบน้ำหรือแช่ในน้ำอุ่นให้ได้ 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง
หลังจากอาบน้ำอุ่นแล้ว ควรตามด้วยการราดน้ำเย็น เพื่อช่วยให้ร่างกายสดชื่น ไม่ทำให้เกิด
ความรู้สึกอยากสูบบุหรี่
2. การให้น้ำภายใน
การดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว จะช่วยให้ท่านรู้สึกสบาย น้ำจะช่วยกำจัดนิโคตินออกจากร่างกายได้
การดื่มน้ำควรเริ่มตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า หลังอาหารทุกมื้อ ช่วงระหว่างมื้อ และก่อนนอน
3. ความสม่ำเสมอในการปฏิบัติตน
ขอให้ท่านดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานอย่างเหมาะสม โดยกินอาหาร 3 มื้อเป็นเวลา นอนพักผ่อน
เป็นเวลา ทำจิตใจให้สบาย ออกกำลังกายเบาๆ เช่น เดินสาวเท้าเร็ววันละ 30 นาที
ให้ท่านเอาใจใส่สุขภาพอย่างดีตลอด 5 วัน สุขปฏิบัติที่ดี จะช่วยให้ร่างกายอยู่ในภาวะสมบูรณ์
4. เมื่อกินอาหารอิ่มลุกขึ้นทันที
นักสูบบุหรี่มักจะมีนิสัยเคยชินในการสูบบุหรี่ หลังกินอาหาร ดังนั้นเมื่อท่านกินเสร็จ จึงควรลุก
หนีจากโต๊ะอาหารไปทันที
หางานอดิเรกทำ เพื่อให้มีงานทำตลอดเวลาและเพลิดเพลินจนไม่ต้องนึกถึงบุหรี่
5. ระวังเครื่องดื่มประเภทคาเฟอีนและโคล่า
เครื่องดื่มที่มีฤทธิ์กระตุ้นหรือระงับประสาท เช่น สุรา ชา กาแฟ โคล่า ท่านควรหลีกเลี่ยงเสีย
เพราะจะทำให้เกิดความกระวนกระวายใจ เนื่องจากจะมีสารกระตุ้นให้อยากบุหรี่
ท่านจึงควรงดเครื่องดื่มเหล่านี้ ตลอด 5 วันที่อยู่ในแผนการเลิกบุหรี่ ดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำ
ผลไม้แทน
6. ระวังเรื่องอาหาร
หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารมันจัด อาหารหวานจัด อาหารเผ็ด เพื่อให้ร่างกายของท่านอยู่ใน
สภาพดีที่สุด เพราะอาหารมีผลโดยตรงต่อสุขภาพจิต
7. อาหารที่ท่านกินได้
อาหารที่ท่านควรกิน ควรเป็นอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ คือ กินครบทุกหมู่ กินผักผลไม้
อาหารมีกากเส้นใย ในจำนวนที่อิ่มพอดี
ถ้ากระวนกระวายใจในเรื่องอาหาร อาจกินหมากฝรั่งหรือหมากหอม ยาอมที่ไม่มีรสหวาน
เพื่อช่วยให้ปากไม่ว่าง ไม่เปรี้ยวปาก อยากสูบบุหรี่ต่อไป
อย่างไรก็ตามต้องระมัดระวังในเรื่องการควบคุมน้ำหนักตัวด้วย เพราะพบว่าหลายคนที่พยายาม
เลิกบุหรี่หันไปชดเชยด้วยการกินจนทำให้น้ำหนักเกิน 5-10 กิโลกรัม ภายใน 3-6 เดือน
หากท่านจะเลิกสูบบุหรี่และรักษาสุขภาพให้ดี จึงควรควบคุมเรื่องของการตามใจปาก กินอย่าง
ระมัดระวัง โดยพยามยามกินผักเป็นหลัก เช่น คะน้า แครอท ชะอม ผักบุ้ง ผักกาด ผลไม้เลือกชนิดแคลอรี่ต่ำ เช่น แตงโม แอปเปิ้ล มะละกอ สับปะรด พุทธา
8. ไวตามินบำรุงประสาท
กินไวตามินบีรวม ซึ่งเป็นไวตามินช่วยบำรุงประสาทที่ถูกกดเนื่องจากสารนิโคติน
ท่านอาจกินไวตามินในรูปแคปซูลหรือเม็ด หรือจะกินส่าข้าวสาลี (Wheat Germ) 1-2 ช้อน
โต๊ะหลังอาหารโดยอาจผสมกับนมสดก็ได้
9. ไม่ใช่ตัวยาอื่นๆ
ระหว่างการเลิกบุหรี่ใน 5 วันนี้ พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ยาอื่นๆ เพื่อไม่ให้มีการกระตุ้นหรือ
กดประสาท ในช่วงที่ท่านกำลังพยายามรักษาระดับความมั่นคงของอารมณ์และจิตใจให้คงที่อยู่
10. อาจพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้
ในระหว่างการเลิกบุหรี่นี้ กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่ท่านต้องสร้างให้เกิดขึ้นมา
ท่านอาจจะหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น โดยการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์
หรือจะสวดมนต์ภาวนาให้ท่านมีความสำเร็จ ก็ขอให้ท่านทำได้ทันที
ผู้ที่เลิกสูบบุหรี่ได้เด็ดขาดและถาวรถือว่าเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ สมควรได้รับการยกย่องในความสำเร็จ ขอให้ทุกท่านจงเป็นผู้ชนะ

สุภาษิตสอนหญิง



๏ ประนมหัตถ์นมัสการขึ้นเหนือเศียร
ต่างประทีปโกสุมปทุมเทียนอันเป็นมิ่งโมลีสี่ทวีปก็ล่วงลับดับไกลนัยนา ฉันชื่อภู่ผู้ประดิษฐ์คิดสนองให้ประเสริฐเลิศล้ำด้วยคำคม
๏ ขอเจริญเรื่องตำรับฉบับสอน อันความชั่วอย่าให้มัวมีระคาย ผู้ใดเกิดเป็นสตรีอันมีศักดิ์ สงวนงามตามระบอบให้ชอบกลเป็นสาวแซ่แร่รวยสวยสะอาด แม้นแตกร้าวรานร่อยถอยราคา อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้กายสูง ค่อยเสงี่ยมเจียมใจจะไว้วาง
๏ จะนุ่งห่มดูพอสมศักดิ์สงวน จะผัดหน้าทาแป้งแต่งอินทรีย์จะเก็บไรไว้ผมให้สมพักตร์ เป็นสุภาพราบเรียบแลเจริญใครเห็นน้องต้องนิยมชมไม่ขาดถึงรูปงามทรามสงวนนวลอนงค์
๏ ประการหนึ่งซึ่งจะเดินดำเนินนาด อย่าไกวแขนสุดแขนเขาห้ามปราม อย่าเดินกรายย้ายอกยกผ้าห่ม อย่าพูดเพ้อเจ้อไปไม่สู้ดี ให้กำหนดจดจำแต่คำชอบ อย่านุ่งผ้าพกใหญ่ใต้สะดืออย่าลืมตัวมัวเดินให้เพลินจิต เป็นนารีที่ละอายหลายกระบวนอนึ่งเนตรอย่าสังเกตให้เกินนัก แม้นประสบพบเหล่าเจ้าชู้ชายอันนัยน์ตาพาตัวให้มัวหมองจริงมิจริงเขาเอาไปเล่าแช่
จำนงเนียรนบบาทพระศาสดาดังประทีปส่องทั่วทุกทิศาสู่มหาห้องนิพพานสำราญรมย์ขอประคองคุณใส่ไว้เหนือผมโดยอารมณ์ดำริรักชักภิปราย
ชาวประชาราษฎรสิ้นทั้งหลาย จะสืบสายสุริยวงศ์เป็นมงคลบำรุงรักกายไว้ให้เป็นผลจึงจะพ้นภัยพาลการนินทาก็หมายมาดเหมือนมณีอันมีค่าจะพลอยพาหอมหายจากกายนางดูเยี่ยงยูงแววยังมีที่วงหางให้ต้องอย่างกริยาเป็นนารี
ให้สมควรรับพักตร์ตามศักดิ์ศรี ดูฉวีผิวเนื้ออย่าเหลือเกินบำรุงศักดิ์ตามศรีมิให้เขินคงมีผู้สรรเสริญอนงค์ทรงว่าฉลาดแต่งร่างเหมือนอย่างหงส์ไม่รู้จักแต่งองค์ก็เสียงาม
ค่อยเยื้องยาตรยกย่องไปกลางสนาม เสงี่ยมงามสงวนไว้แต่ในทีอย่าเสยผมกลางทางหว่างวิถีเหย้าเรือนมีกลับมาจึงหารือผิดระบอบแบบกระบวนอย่าควรถือเขาจะลือว่าเล่นไม่เห็นควรระวังปิดปกป้องของสงวนจงสงวนศักดิ์สง่าอย่าให้อายจงรู้จักอาการประมาณหมายอย่าชม้ายทำชะม้อยตะบอยแลเหมือนทำนองแนะออกบอกกระแสคนรังแกมันก็ว่านัยน์ตาคม
๏ อันที่จริงหญิงชายย่อมหมายรัก แม้นจักรักรักไว้ในอารมณ์ ดังพฤกษาต้องวายุพัดโบก จงยับยั้งช่างใจเสียให้ดี อันตัวนางเปรียบอย่างปทุเมศ หอมผกาเกสรขจรขจาย ครั้นได้ชมสมจิตพิศวาสไม่อยู่เฝ้าเคล้ารสเที่ยวจดลอง แม้นชายใดหมายประสงค์มาหลงรักอันความรักของชายนี้หลายชั้น จงพินิจพิศดูให้รู้แน่เปรียบเหมือนคิดปริศนาอย่าไว้ใจอันแม่สื่ออย่าได้ถือเป็นบรรทัด แต่ล้วนดีมีบุญลูกขุนนาง อันร้ายดีมิได้เห็นเป็นแต่ว่า เหมือนเขาหลอกบอกลาภถึงเมืองไกล ทางไกลตาอุปมาเหมือนเสียเนตร เขาจะนำไปตายก็ตายพลัน อันแม่สื่อคือปีศาจที่อาจหาญอย่าเชื่อนักมักตับก็คับโครง อันความชั่วอยู่ที่ตัวของเราหมด จงฟังหูไว้หูกับผู้คน
๏ คิดถึงตัวหาผัวนี้หายาก คนสูบฝิ่นกินสุราพาจัญไร มักเบียดเบียนบีฑาประดาเสีย ไม่ทำมาหากินจนสิ้นตน ที่บางคนนั้นชั่วเป็นหัวไม้ ท่านจับได้ใส่ตรวจพรวดคอยาวเขาเป็นผัวตัวเมียเสียไม่ได้ ไปเสียลดเสียหลั่นพันธนา เพราะมีผัวชั่วไปจึงได้ยาก บ้างเล่นเบี้ยเสียถั่วมัวทนง มีข้าวของเคยผูกให้ลูกเต้าลงชั้นว่าผ้าผ่อนท่อนสไบ ยังแต่เมียเกลี่ยไกล่ไปขายซื้อ ครั้นรักผัวก็อย่ามัวด้วยลมโลม จะคิดทำอย่างไรก็ใช่ที่ ถ้าคนผู้รู้สึกสำนึกตัว จะหาคู่สู่สมภิรมย์หวัง ที่ชายดีนั้นก็มีอยู่ถมไปแต่ใจคนมักรนไปหาผิด ต้องเดือดดิ้นกินน้ำตาอยู่นองเนือง
มิใช่จักตัดทางที่สร้างสมอย่ารักชมนอกหน้าเป็นราคีเขยื้อนโยกก็แต่กิ่งไม่ทิ้งที่เหมือนจามรีรู้จักรักษากายพึ่งประเวศผุดพ้นชลสายมิได้วายภุมรินถวิลปองก็นิราศแรมจรัลผันผยองดูทำนองใจชายก็คล้ายกันให้รู้จักเชิงชายที่หมายมั่นเขาว่ารักรักนั้นประการใดอย่าทำแต่ใจเร็วจะเหลวไหลมันมักไพล่เพลงขุมเป็นหลุมพลางสารพัดเขาจะพูดนี้สุดอย่างมาอวดอ้างให้อนงค์หลงอาลัยจะคาดหน้าแน่ลงที่ตรงไหนอย่าควรให้ตามคำเขารำพันสุดสังเกตเท็จจริงทุกสิ่งสรรพ์คนทุกวันเชื่อมันยากปากมันโกงใครบนบานเข้าสักหน่อยก็พลอยโผงมันชักโยงอยากกินแต่สินบนต้องกำสรดโศกร้างอยู่กลางหนสืบยุบลเสียให้แน่อย่าแร่ไป
มันชั่วมากนะอนงค์อย่าหลงไหลแม้หญิงใดร่วมห้องจะต้องจนเหมือนเลี้ยงเหี้ยอัปรีย์ไม่มีผลแล้วซุกซนตีชิงเที่ยววิ่งราวให้พอใจชกตีเขาหมี่ฉาวแล้วบอกข่าวโศกศัลย์ถึงภรรยามีหาไม่เงินทองก็ต้องหาค่าฤชาก็ต้องเสียขายเมียลงแสนลำบากบอบนักอย่ามักหลงหน่อยก็ลงจำนำเขาร่ำไปก็เบียนเอาสิ้นสุดหาหยุดไม่อย่าไปไขว้เล่นไปจนโซโทรมคอยหารือร่วมภิรมย์เมื่อชมโฉมต่อล้มโครมแล้วก็ครวญหวนถึงตัวต้องรับหนี้ยากแค้นใช้แทนผัวจะยังชั่วด้วยไม่เฉยซะเลยใจจงระวังชั่วช้าอัชฌาสัยใช่วิสัยเขาจะชั่วไปทั่วเมืองครั้นได้คิดจิตตรอมออกผอมเหลืองสุดจะเปลื้องราคินจนสิ้นคาว
๏ เป็นสตรีสุดดีแต่เพียงผัวลงจนสองสามจืดไม่ยืดยาวถ้าคนดีมิได้ช้ำระยำยับ คงมีผู้ชูช่วยประคับประคองถ้าแม้นตัวชั่วช้ำระยำแล้ว เหมือนทองแดงแฝงเฝ้าเป็นราคี จงรักตัวอย่าให้มัวราคีหมองอย่าเอาผิดมาเป็นชอบประกอบใจ แม้นรู้จักรักร่างเป็นอย่างยิ่ง จงกำหนดอุตส่าห์รักษาทรง อันคำคมลมบุรุษนั้นสุดกล้า จงระวังตั้งมั่นในสันดาน เขารักจริงให้สู่ขอกับพ่อแม่ เขาไม่เลี้ยงไล่ขับจะอับอาย ข้างพ่อแม่ก็จะโกรธพิโรธร่ำด้วยท่านอายขายหน้าประชาชน ถ้าปะว่าแม่พ่อใจคอร้าย แม้นชายจนคนขัดพลัดเข้าตัว จะขึ้งโกรธโทษผู้ใหญ่ว่าไม่รัก ชั้นพ่อแม่ของตัวไม่กลัวเกรง ท่านเลี้ยงมาจะให้เป็นหอห้อง ครั้นลูกตัวชั่วถ่อยน้อยอารมณ์ แม้นลูกดีก็จะมีศรีสง่าถึงเพื่อนบ้านฐานถิ่นที่ใกล้ไกล
จะดีชั่วก็ยังกำลังสาวจะกลับหลังอย่างสาวสิเต็มตรองถึงขัดสนจนทรัพย์ไม่เศร้าหมองเปรียบเหมือนทองธรรมดาราคามีจะปัดแผ้วถางฝืนไม่คืนที่ยากจะมีผู้ประสงค์จำนงในถือทำนองแบบโบราณท่านขานไขจงอยู่ในโอวาทญาติวงศ์จะเพริศพริ้งสมสวาทเป็นราชหงส์อย่าลุ่มหลงด้วยอุบายของชายพาลเขาย่อมว่ารสลิ้นนี้กินหวานอย่าลนลานหลงละเลิงด้วยเชิงชายอย่าวิ่งแร่หลงงามไปตามง่ายต้องเป็นม่ายอยู่กับบ้านประจานตนจะจองจำตีโบยออกโหยหนไม่รักตนเราจึงต้องมาหมองมัวกลับซื้อขายคิดเอากับเจ้าผัวเราทำชั่วก็ต้องขายกายเราเองเพราะเราคิดผิดนักไม่เหมาะเหม็งใจตัวเองพาหลงไปลงตมหมายจะกองทุนสินกินขนมจึงตรอมตรมโกรธบุตรนี้สุดใจญาติวงศ์พงศาก็ผ่องใสก็มีใจสรรเสริญเจริญพร
๏ จงรักนวลสงวนนามห้ามใจไว้ คิดถึงหน้าบิดาและมารดรเมื่อสุกงอมหอมหวนจึงควรหล่น อย่าชิงสุกก่อนห่ามไม่งามดี อย่าคิดเลยคู่เชยคงหาได้ อย่าเกียจคร้านงานสตรีจงนิยม ถ้าแม้นทำสิ่งใดให้ตลอดเขม้นขะมักรักงานการของตน เมื่อเหนื่อยอ่อนนอนหลับอยู่กับบ้าน อะไรฉาวกราวเกรียวอย่าเหลียวแล ระวังดูเรือนเหย้าแลข้าวของ เห็นไม่มีแล้วอย่าอ้างว่าช่างมัน มีสลึงพึงประจบให้ครบบาท จงมักน้อยกินน้อยค่อยบรรจง ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาลด้วยชนกชนนีนั้นมีคุณอุ้มอุทรป้อนข้าวเป็นเท่าไร ถ้าเราดีมีจิตคิดอุปถัมถ์ จะปรากฎยศยิ่งสิ่งทั้งปวง เทพไทในห้องสิบหกชั้น ว่าสตรีนี้เป็นยอดยุพาพาล
๏ ที่บางนางนั้นก็ทำทุจริต เห็นพ่อแม่ยากไร้ไม่ไยดี เขาถามไถ่ว่ามิใช่เป็นพ่อแม่ ให้ตามหลังบังคับด้วยคำคม คนผู้นั้นครั้นตายวายชีวาตม์ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันพระจันทราถ้าอยู่ไปในมนุษย์โลกเล่า ให้ยากยับอัปราอนาทร แม้จะมีเงินทองของทั้งหลายจะเกิดโจรราวีอัคคีภัยหญิงเช่นนี้ชายอย่าได้ไปร่วมรัก แต่พ่อแม่เจียวยังใจไม่การุญ ซึ่งสตรีที่ดีอย่าดูเยี่ยงแม้นร่วมรอยก็จะพลอยระยำมัง
อย่าหลงใหลจำคำที่ร่ำสอนอย่ารีบร้อนเร็วนักมักไม่ดีอยู่กับต้นอย่าให้พรากไปจากที่เมื่อบุญมีคงจะมาอย่างปรารมภ์อุตส่าห์ทำลำไพ่เก็บประสมจะอุดมสินทรัพย์ไม่อับจนอย่าทิ้งทอดเที่ยวไปไม่ได้ผลอย่าซุกซนคบเพื่อนไพล่เชือนแชอย่าเที่ยวพล่านพูดพลอประจ๋อประแจ๋ฟังให้แน่เนื้อความค่อยถามกันจะบกพร่องอะไรที่ไหนนั่นจงผ่อนผันเก็บเล็มให้เต็มลงอย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนานให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวานจงเลี้ยงท่านอย่าให้อดระทดใจได้การุณเลี้ยงรักษามาจนใหญ่หมายจะได้พึ่งพาธิดาดวงกุศลล้ำเลิศเท่าภูเขาหลวงกว่าจะล่วงลุถึงซึ่งพิมานจะชวนกันสรรเสริญเจริญสารได้เลี้ยงท่านชนกชนนี
มิได้คิดคุณท่านเท่าเกศีดูเป็นที่อายเพื่อนเบือนอารมณ์ท่านพูดแก้เกลื่อนกลับจะทับถมไม่ชื่นชมยกชูขึ้นบูชาคงไม่คลาดแคล้วนรกตกถลาทรมาน์หมกไหม้ในไฟฟอนเทพเจ้าท่านก็แช่งแสร้งสังหรณ์ยิ่งกว่าทำมารดรให้ร้อนใจคงฉิบหายมั่นคงอย่าสงสัยเพราะว่าใจหยาบช้าคิดทารุณจะเสื่อมศักดิ์เสียเช่นเป็นสถุลเนรคุณมิได้คิดอนิจจังจงหลีกเลี่ยงเสียให้พ้นคนขี้ถังดุจดังเอาทองแดงเข้าแฝงกุม
๏ จะสอนใจไว้ทุกสิ่งเป็นหญิงสาวให้ผันผ่อนเหมือนหนึ่งนอนในห่วงรุมอย่าทำนอกลักษณะจะเป็นโทษถึงจะรักรักให้ยืดอย่าจืดจาง จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น ไม่ควรพูดอื้ออึงขึ้นมึงกูแม้จะเรียนวิชาทางค้าขาย จึงซื้อง่ายขายดีมีกำไร เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปากแม้นพูดดีมีคนเขาเมตตาถึงชายใดเขาพอใจมาพูดเกี้ยวเมื่อไม่ชอบก็อย่าตอบเนื้อความตามถึงจะไปในพิภพให้จบทั่วจงอุตส่าห์ปกปิดให้มิดเม้น เมื่อจะจรนอนเดินดำเนินนั่ง อย่าเหม่อเมินเดินให้ดีมีอาฌาเห็นผู้ใหญ่หรือใครเขานั่งแน่น ค่อยวอนว่าข้าขอจรดลแม้นสมรจะไปนอนที่เรือนไหน ใครเห็นเข้าเขาจะเล่านินทานาง ถ้าจะนั่งก็นั่งระวังผ้า ยามสำรวลก็อย่าสรวลให้เมามัว เมื่อยามยิ้มก็ยิ้มไว้แต่ในพักตร์ อย่าเท้าแขนเท้าคางให้ห่างกาย จะแต่งตัวก็อย่ามัวแต่การแต่งใช่บ้านนอกขอกนามาแต่เยิง
ให้พ้นคาวข่าวชั่วมามั่วสุมจงสุขุมคิดแบ่งให้เบาบางตัดประโยชน์พี่น้องเขาหมองหมางจะไว้วางกริยาให้น่าดูอย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหูคนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจอย่าปากร้ายพูดจาอัชฌาสัยด้วยเขาไม่เคืองจิตระอิดระอาจะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหาจะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความอย่าโกรธเกรี้ยวโกรธาว่าหยาบหยามมันจะลามเล่นเลยเหมือนเคยเป็นแต่ความชั่วอย่าให้ผู้ใดเห็นจึงจะเป็นคนดีมีปัญญาจงระวังในจิตขนิษฐาแม้นพลั้งพลาดบาทาจะอายคนอย่าไกวแขนปัดเช่นไม่เห็นหนนั่นแหละคนจึงจะมีปรานีนางอย่าหลับไหลลืมกายจนสายสางความกระจ่างออกกระจายเพราะกายตัวไม่อาฌาเขาจะพากันยิ้มหัวแม้นจะหัวหัวร่อพอสบายอย่ายิ้มนักเสียสง่าพาสลายอย่ากรีดกรายกรอมเพลาะเที่ยวเราะเริงอย่าทาแป้งจับกระเหม่าเข้าจนเหลิงทำเซาะเซิงเขาจะโห่วิ่งโร่ไป
๏เมื่อยามตรุษยามสงกรานต์มีงานหลวง ครั้นสิ้นเขตเทศกาลทำงานไป เมื่อไปเป็นชาววังจึงนั่งแต่ง ด้วยสำราญการอะไรนั้นไม่มี อยู่สถานบ้านช่องนั้นต้องคิด เผื่อมีผัวพลเรือนเหมือนกันนา รู้วิชาก็ให้รู้เป็นครูเขา มีข้าไทใช้สอยค่อยสบายการวิชาหาประดับสำหรับร่าง การมิดีมีชั่วมันกลัวเกรง คิดแต่ยากแต่จนเร่งขนขวายพออิ่มเช้าอิ่มเย็นไม่เป็นไรค่อยเสงี่ยมเจียมตนจนเสียก่อน อย่าเป้อเย้อพกใหญ่ออกให้เกิน อย่าอวดดีมีทรัพย์เที่ยวจับแจก ใครจะช่วยตัวเราก็เปล่าดาย เห็นผู้ดีมีทรัพย์ประดับแต่งของตัวน้อยก็จะถอยไปทุกวัน จงนุ่งเจียมห่มเจียมเสงี่ยมหงิมอย่านุ่งลายกรายกรุยทำฉุยไป
แต่งให้งามตามกระทรวงหาว่าไม่อย่าร่ำไรผัดหน้าทั้งตาปีแต่พอแจ้งเข้าก็จับกระจกหวีจะหาคู่ดูแต่ที่เจ้าพระยาให้รู้กิจการหญิงทุกสิ่งสาจะได้หาเลี้ยงกันจนวันตายจึงจะเบาแรงตนเร่งขวนขวายตัวเป็นนายโง่เง่าบ่าวไม่เกรงอย่าเอาอย่างหญิงโกงมันโฉงเฉงอย่าครื้นเครงขับร้องคะนองใจอย่าให้กายตกยากลำบากได้อย่าพอใจเชื่อช้ำเขาก้ำเกินค่อยผันผ่อนทีหลังเขาสรรเสริญละเมิดเมินหมิ่นนักมักจะอายทำเกี่ยวแฝกมุงป่าพาฉิบหายอย่ามักง่ายเงินทองของสำคัญอย่าทำแข่งวาสนากระยาหงันเหมือนตัดบั่นต้นทุนสูญกำไรอย่ากระหยิ่มยศถาอัชฌาสัยตัวมิใช่ชาววังไม่บังควร
๏ อย่าคบพวกหญิงพาลสันดานชั่วสุริย์ฉายบ่ายคล้อยเที่ยวลอยนวลพอรุ่งเช้าเฝ้าแต่มองส่องเกศีตรงการงานขี้คร้านเป็นกังวล ครั้นได้ยินเสียงกลองมาก้องหู วันนี้มีละครใครที่ไหนมา นั่งพินิจพิศโฉมประโลมหลงบ้างก็เห็นว่างามเลยตามไป บ้างก็รักข้างนักเลงเล่นเครงครื้นห่มเพลาะดำทำปลอมออกกรอมกาย ครั้นไปไปใจแตกลงแหกคอก ควาญหมอรอไม่ติดเห็นผิดเชิงใครจะห้ามปรามไว้ก็ไม่ฟัง ถือว่าตนเปรื่องฉลาดปราชญ์ประเปรียว พูดก็มากปากก็บอนแสนงอนนักเที่ยวรอนราญจนเพื่อนบ้านเขาระอาที่ส่วนตัวถึงจะชั่วออกล้นพ้น ไม่ทำมาหากินจนสิ้นแกน หญิงเช่นนี้เห็นไม่มีเจริญแล้ว ลงสูบฝิ่นกินเหล้าอยู่เมามาย มือก็ไวใจก็กล้าหน้าก็ด้าน แต่ผ้าขาดก็ไม่ปรารถนาเย็บ อันการเหย้าไม่เอาเป็นธุระคบกันได้แต่นิสัยพวกแชเชือน ชั้นจะยืมของใครเขาไม่เชื่อ ปากก็หวานเหมือนน้ำตาลเพชรบุรี แม้นใครไปสมทบเข้าคบค้า มีแต่ภัยให้ระยำทุกค่ำคืน หญิงไม่ดีนั้นก็มีอยู่หลายพวก ที่คนดีจะได้ดูให้รู้ครบ
ที่แต่งตัวไว้จริตผิดกระสวนเป็นเชิงชวนพวกเจ้าชู้เขารู้กลให้เวียนหวีได้วันละพันหนแต่งแต่ตนมิได้เว้นสักเวลายังไม่รู้เนื้อความเที่ยวถามหาแม้นรู้ว่าเจ้ากรับเต้นหรับไปดูจนปลงกรรมฐานเหงื่อกาฬไหลช่างกระไรหนอขนิษฐ์ไม่คิดอายเที่ยวกลางคืนคบเพื่อนเดือนหงายหงายพวกผู้ชายชักพาเที่ยวร่าเริงปะแตกปลอกต้ำผางวางจนเหลิงจะเปิดเปิงเข้าป่าไปท่าเดียวทำส่งเสียงเถียงดังให้กราดเกรี้ยวประจบเที่ยวรู้จักทุกพักตราเห็นเขารักกันไม่ได้ใจอิจฉานั่งที่ไหนให้นินทาเขาเป็นแดนสู้ปิดปากยกตนนี่สุดแสนก็เลยแล่นเข้าบ่อนนอนสบายให้แว่วแว่วอยู่ข้างทางฉิบหายไม่เสียดายอินทรีย์เท่าขี้เล็บจะเอาขวานไปถากไม่อยากเจ็บขี้เกียจเก็บพลัดวางได้กลางเรือนคิดแต่จะเที่ยวตลบไปคบเพื่อนจะคบคนพลเรือนก็เต็มทีด้วยตัวเหลือโป้ปดสบถถี่ข้าวของมีให้ไปไม่ได้คืนจนชั้นผ้าไม่ติดตัวแต่สักผืนใครจะชื่นชมชิดไปคิดคบจำจะบวกบอกใส่เสียให้จบหล่อนจะได้ไม่คบพวกคนพาล
๏ หญิงพวกหนึ่งนั้นขันทำปั้นเจ๋อไม่เจียมจนเลยว่าตนต่ำสันดานล้วนคุณลุงคุณปู่อยู่ทุกแห่ง พวกผู้ดีไม่นึกตรึกเจรจา ช่างพูดได้ไม่อายแก่ปลายลิ้น ถึงพูดไปใครเขาจะเห็นจริง ถึงจะอวดอ้างไปที่ไหนนั่นถ้าสันดานการผู้ดีคงมีรอย อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้เกินศักดิ์ เปรียบเหมือนเกลือเจือปนกับชลธี ที่บางคนจนยากไม่อยากทุกข์ อุตส่าห์แต่งแป้งขมิ้นไม่สิ้นคราว ทำไมแก่เงินทองของทั้งหลาย ถือว่ารูปกูงามไม่คร้ามจน สุภาษิตท่านประดิษฐ์ประดับไว้ ถึงเป็นองค์สุริย์วงศ์พระจักรี ทุกวันนี้มีทรัพย์เขานับหน้า ถึงงามพักตร์เขาจะรักเจ้าเพียงไร
เฝ้าเป้อเย้อหยิ่งเกินกับภูมิฐานเห็นที่ท่านเป็นขุนนางอ้างเข้ามาเที่ยวแอบแฝงพิงพาดวาสนาเป็นพี่น้องร่วมฟ้านั้นเห็นจริงเป็นคนสิ้นความคิดผิดผู้หญิงเขาว่าหยิ่งยกยศเหมือนมดตะนอยเขารู้ทันอยู่ว่าเช่นเจ้าเป็นหอยไม่กล่าวถ้อยเขาก็รู้ว่าผู้ดีเขาจะมักเหม็นปากเหมือนซากผีมันก็มีแต่จะจืดไม่ยืดยาวถือว่าสุขอยู่แก่ตาข้าเป็นสาวไม่สร้อยเศร้าสู้ตาประชาชนเห็นหาง่ายสารพัดไม่ขัดสนลงแต่งตนขายกินจนสิ้นดีว่าผู้ใดงามพักตร์สมศักดิ์ศรีแม้นไม่มีสินทรัพย์ก็ลับไปอย่าถือว่าตนงามตามวิสัยเขาคาดใจเสียว่าเจ้าขี้เกียจการ
๏ ที่บางคนเห็นที่ท่านมีทรัพย์ประกอบผูกลูกสะกดสร้อยสังวาลย์ เจ้าคนจนมันให้ร่ำจะทำบ้าง แต่ตัวจนอ้นอั้นตันในคอ หาทองแท้แก้ไขมันไม่คล่อง แต่ล้วนเนื้อสิบน้ำทองคำทวาย แพงไม่เบาเขายังกล้าอุตส่าห์ซื้อ ถึงจนยากอยากบำรุงให้รุ่งเรือง ก็สาสมกับอารมณ์ไม่เจียมศักดิ์ ผู้ดีว่าแล้วขี้ข้าก็พลอยตาม เขาจึงว่าหน้าสดปรากฎอยู่ เมื่อน้ำตื้นขืนจะพายไปฝ่ายเดียว เหมือนหิ่งห้อยน้อยสีหรี่หรุบรู่ เห็นไม่ถึงดอกอย่าโกยไปโดยแรง ๏ ยังมีพวกหนึ่งนั้นขยันยิ่ง เที่ยวยักย้ายร่ายชมภิรมย์รส จะรักไหนก็ไม่รักสมัครมั่น ชู้ต่อชู้รู้เรื่องเคืองระคางเพราะนารีมิได้ตรงจำนงหมาย เหมือนพวกนางโมราวิลาวัณย์ โอ้ใจนางอย่างนี้ก็มีมั่ง เพราะนิสัยใจขนิษฐ์เล่นปลิดโยน ต่างคนต่างก็เชือนออกเบือนเบื่อ อันผัวดีที่จะได้อย่าหมายเลย
แต่งประดับผิวพรรณในสัณฐานแลละลานล้วนสุวรรณอันลออเอาเยี่ยงอย่างอยากได้น้ำลายสอลงเที่ยวผลอไพล่เผลเพทุบายต้องเอาทองเสาชิงช้าน่าใจหายสายสร้อยสายหนึ่งก็ถึงสลึงเฟื้องผูกข้อมือแลงามอร่ามเหลืองจนทองเหลืองไม่ละจะกละงามทรลักษณ์เหลือตัวชั่วส่ำสามไม่มีความอายจิตสักนิดเดียวสมกับผู้ที่ไม่ตรึกนึกเฉลียวไม่ถึงเลี้ยวก็จะล่มไปจมแปลงจะแข่งสู้สุริยาอันกล้าแข็งเขาจะแสร้งสรวลว่าเป็นบ้ายศ เป็นผู้หญิงสองใจไม่กำหนดใครมาจดโผจับรับตะกางเล่นประชันเชิงลองทั้งสองข้างก็ขัดขวางหึงสาจะฆ่าฟันทำให้ชายเคืองแค้นแสนกระสันยื่นพระขรรค์ผัวให้กับไอ้โจรจนลือดังข่าวก้องดังกลองโขนจนมาโดนกันกระดากไม่อยากเชยต้องเป็นเรือขึ้นคานอยู่เฉยเฉยด้วยมากเชยหลายชู้เขารู้กล
๏ บ้างลอบเล่นเพลงยาวเมื่อคราวขัด ที่ไม่สู้รู้กลอนยังร้อนรน บ้างก็เล่นปริศนาเที่ยวหาของครั้นห่อเสร็จส่งให้กับชายชาญ ครั้นคิดคิดปริศนานั้นช้าเนิ่น ทำดื้อด้านหาญหักไม่รักงาม ชนิดนางอย่างนี้มีชุมนัก ต้องกินยาเข้าสุราพริกไทยปน รักสนุกครั้นได้ทุกข์แล้วถอยคิด เทพเจ้าท่านไม่เข้าด้วยคนร้าย ครั้นคิดล้างอย่างไรก็ไม่สูญ ทำอย่างไรมันก็ไม่มรณา ถ้ารู้ถึงพ่อแม่ต้องแก้ไข แล้วหาผัวตัวประจำเป็นสำเนา ที่ชายโหดโฉดเขลาเข้าไปรับ ดังแผ่นดินสิ้นหญ้าสุธาแพลงไม่คิดอายขายหน้านิจจาเอ๋ย ลูกของเขาเอาเป็นสิทธิ์เฝ้าชิดเชื้อ เหมือนเช่นเราเขาจะให้ก็ไม่รัก ถึงรูปร่างอย่างยุพินกินรี เป็นขนิษฐ์ชอบแต่คิดให้เป็นหนึ่ง เอ่ยว่ารักแล้วให้ได้ร่วมเรียงท่านเปรียบมาเหมือนหนึ่งตราราชสีห์ เป็นอนงค์แล้วก็คงจะเป็นเมีย ที่เกิดมาเป็นนารีไม่มีค่า เหมือนกรวดทรายปรายเล่นไม่เว้นวาง เมื่อไม่ถือตราภูมิไว้คุ้มห้าม แม้นรู้จักรักษาถือตราไว้ อย่าจับปลาสองหัตถ์จะพลัดพลาด จึงนับว่าคนดีไม่มีมัว เป็นผู้หญิงสิ่งใดจะล้ำเลิศถึงรูปทรงนงคราญจะพาลคลาย
๏ บ้างมีผัวตัวอยู่เป็นคู่ชื่น ทำรักซ้อนซ่อนสนิทปิดเนื้อความ ครั้นรู้ความถามไถ่ก็ไม่รับ พลอยประจบหลบความไปตามเพลงทำองอาจพลาดพลั้งลงทั้งคู่ไม่แปรดแปร้นแสนสลดเหมือนทศกัณฐ์ เคยที่นอนหมอนหนุนละมุนนิ่ม เล็นก็กัดหมัดก็กินจนสิ้นนวล ครั้นเห็นชู้คู่ชมภิรมย์รื่น จะพึ่งชู้ชู้ก็เพียบกรอบเกรียบใจ ตระลาการท่านถามเอาความชั่ว เขาเฮฮาหน้าสลดต้องอดทน ครั้นซักไซ้ไต่ถามได้ความชัด ถ้ารักชู้ก็ให้อยู่กับชู้ชายก็สาสมกับอารมณ์สตรีชั่ว ไปคบชู้ชู้ชักหักทั้งยืนที่ใครเห็นจะเมตตานั้นหายาก ก็เพราะเหตุตัวชั่วลือขจร ครั้นลำบากยากจิตสิได้คิด ใช่ไม่รู้เขาห้ามความถ้อยมี เออก็ใจเป็นไฉนนะน้องเอ๋ย ช่างไม่คร้ามความชั่วติดตัวตน มันเสียแล้วถึงจะฝืนไม่คืนศักดิ์ อันความชั่วติดตัวกว่าจะตาย ถึงบินออกนอกตำบลให้พ้นเขต ห้ามมันยากปากมนุษย์นี้สุดยาว ผู้ใดคิดผิดพลั้งเหมือนอย่างว่า ควรยับยั้งชั่งใจเสียให้ดี แม้นชั่วช้าใครว่าแล้วโกรธเขาจะวิบัติบาปกรรมซ้ำหนักไปแม้คนดีมีปัญญาถ้าไม่โกรธให้พ้นทุกข์สุขีเป็นศรีเมือง
ฝีปากจัดตอบต่อข้อนุสนธิ์เที่ยววานคนแต่งให้พอได้การให้ถูกต้องตามอารมณ์ประสมประสานบอกอาการเรื่องรักประจักษ์ความชวนกันเดินหลีกออกนอกสนามจนเลยลามลืมบ้านสถานตนเป็นโรครักเกิดมารศีรษะขนหมายประจญจะให้ดับที่อับอายจะปกปิดเปลวไฟไม่เห็นหายคงก่อกายขึ้นให้เห็นไว้เป็นตราก็อาดูรพูนเกิดสหัสสาเป็นเวราบาปนั้นไม่บรรเทาเอาลูกไปมุ่งหมกยกให้เขาพอปัดเป่าความอายให้หายแคลงมันช่างหลับตาสนิทไม่คิดแหนงมาแอบแฝงเอามันเป็นว่านเครือเหมือนไม่เคยพบปะจะกละเหลือนึกว่าเนื้อบุญธรรมกรรมไม่มีมันขายพักตร์สารพัดจะบัดสีแต่เช่นนี้แล้วไม่ปองประคองเคียงไม่ควรถึงอย่าให้ถึงกับปากเสียงเป็นคู่เคียงของตัวว่าผัวเมียไม่พอที่เสียนวลไม่ควรเสียย่อมมีเบี้ยปรับไหมวิสัยนางจะเกิดมาทำไมให้หมองหมางจะเอาอย่างนางโมราหรือว่าไปคนจึงลามเลยลวนมากวนได้จะคุ้มภัยให้พ้นมีคนกลัวจับให้คงลงให้ขาดว่าเป็นผัวถ้าชายชั่วร้างไปมิใช่ชายสุดประเสริฐก็แต่ใจไม่เสื่อมสลายก็จะกลายส่งสวยด้วยใจงาม
ยังหาอื่นเข้าประคองเป็นสองสาม จนเลยลามเป็นระฆังดังขึ้นเองเขาเฆี่ยนขับตีด่าว่าข่มเหงเพราะผัวเองจับไม่ได้ไล่ไม่ทันเขาจับได้ชายชู้ดูน่าขันต้องโศกศัลย์เศร้าใจอยู่ในตรวนไปนอนทิมกรากกรำเฝ้ากำสรวลแลแต่ล้วนลูกความออกหลามไปก็ไม่ชื่นชมชิดพิศมัยจะพึ่งผัวตัวก็ไม่เมตตาตนข้างตัวกลัวก็บอกออกนุสนธิ์แทบจะด้นดำดินให้สิ้นอายจึงจำกัดศักดินาราคาขายมันเบื่อหน่ายขายกลับเอาทรัพย์คืนอยู่กับผัวร่วมใจว่าไม่ชื่นต้องกล้ำกลืนชลนัยน์อาลัยวอนมีแต่ปากแช่งอนงค์ส่งสลอนที่เคยนอนนั่งสบายว่าไม่ดีแต่มันผิดเสียถนัดต้องบัดสีชั่วหรือดีได้ยินสิ้นทุกคนมันจึงเลยไหลฉ่ำดังน้ำฝนทำซุกซนจนได้ยากลำบากกายจะลงรักทองปิดไม่มิดหายเปรียบเหมือนกายกามีราคีคาวคงบอกเหตุรู้ว่าใช่กาขาวไม่แกล้งกล่าวค่อนว่าแก่นารีถูกตำราแล้วอย่าโกรธพิโรธพี่ถ้าหลีกลี้เลิกเล่นไม่เป็นไร เช่นตัวเราผู้แต่งแถลงไข ถึงตกใต้เทวทัตเพราะขัดเคือง เห็นประโยชน์ตัดชั่วในตัวเปลื้อง อย่าแค้นเคืองคำข้าขออภัย
๏ เป็นสตรีมิใช่ชายเสียดายศักดิ์ อันความดีมีอยู่ดูจำไว้ จะมีคู่ก็ให้รู้ปรนนิบัติ อย่าคิดร้ายย้ายแยกทำแปลกปลอมอย่าคบชู้สู่สมนิยมหวังเขารักหลอกหยอกเล่นดอกเช่นนี้ธุระอะไรจะให้มันเสียของเพราะเชื่อใจภรรยายิ่งกว่าเกลอจะมีจิตพิศวาสไม่คลาดเคลื่อน แม้นนอกจิตคิดร้ายหมายประจญจงกันภัยในเล่ห์เสน่หา เอาความสัตย์ตัดตั้งปฏิญาณจงซื่อต่อภัสดาสวามี อย่าให้มีราคินที่กินใจถึงที่สุดทดลองก็ทองแท้หญิงเดี๋ยวนี้แม้นมีสัตยา
๏ แม้นเขารักแล้วอย่าดื้อทำถือจิต คำนับนอบสามีทุกวี่วัน ยามสิ้นแสงสุริยาอย่าไปไหน ระวังดูปูปัดสลัดที่นอน ถ้าแม้นว่าภัสดาเข้าไสยาสน์ เขาเหนื่อยเหน็บเจ็บปวดในทรวงทรงประพฤติกายสายสมรจะนอนหลับ นอนให้ดีมีสติสิริเรา จงรีบฟื้นตื่นก่อนภัสดา จึงหุงข้าวต้มแกงแต่งสำรับ ทั้งกระโถนคนทีขัดสีไว้ อีกน้ำท่าอย่าให้ผงลงไปกวน แม้นรู้ว่าสามีจะไปไหน ประจงปลุกภัสดาอย่าช้านาน จงระวังนั่งดูอยู่ใกล้ใกล้ อย่าให้ต้องร้องตะโกนโพนทะนาอยู่จนผัวรับประทานอาหารแล้ว อย่ากินก่อนภัสดาดูน่าชัง
จะปลูกรักเรรวนหาควรไม่ อย่าพอใจรักชั่วให้มัวมอมจงซื่อสัตย์สุจริตคิดถนอมมโนน้อมเสน่หาต่อสามีไม่จีรังกาลดอกบอกโฉมศรีถ้าแม้นมีข้าวของต้องบำเรออันเงินทองผัวสิทำสน่ำเสนอควรบำเรอลูกผัวของตัวตนเพราะแม่เรือนร่วมใจจึงได้ผลจะพาตนยากยับอัประมาณอย่าให้มาปนปะจงประหารถึงเกิดการยากเข็ญไม่เป็นไรจนชีวีศรีสวัสดิ์เจ้าตัดษัยอุปไมยเหมือนอนงค์องค์สีดาด้วยนางแน่อยู่ในสัจอธิษฐาน์ภัสดาก็ยิ่งรักขึ้นหนักครัน
เร่งเกรงผิดกลัวใจใหญ่มหันต์ อย่าดุดันดื้อดึงตะบึงบอนจุดไต้ไฟเข้าไปส่องในห้องก่อนทั้งฟูกหมอนอย่าให้มีธุลีลงจงกราบบาททุกครั้งอย่าพลั้งหลงช่วยบรรจงนวดฟั้นให้บรรเทาอย่ากลิ้งกลับมือไม้ไปป่ายเขาอย่าซมเซาอยู่จนแจ้งแสงพยับน้ำล้างหน้าหาไว้ให้เสร็จสรรพจัดประดับเทียมทำให้น้ำนวลให้ผ่องใสสวยตาดูน่าบ้วนจงใคร่ครวญพิเคราะห์ให้เหมาะการแต่ยังไม่ตื่นพรากจากสถานให้ลุกขึ้นรับประทานโภชนาเผื่ออะไรมันขาดจะเรียกหาจงอุตส่าห์ตั้งใจระไวระวังนางน้องแก้วเจ้าจงกินเมื่อภายหลังเขาจะรังเกียจใจดูไม่ดี
๏ ถ้าผัวทำราชการพระผ่านเกล้า ทั้งล่วมปัดจัดแจงแต่งให้ดี อุตส่าห์ทำบำเรอเสนอสนอง ปรนนิบัติภัสดาอย่าราคิน
๏ เกิดเป็นหญิงให้เห็นว่าเป็นหญิง เป็นหญิงครึ่งชายครึ่งอย่าพึงใจ แม้นผัวเดือดเจ้าจงดับระงับไว้ เขาเป็นไฟเราเป็นน้ำค่อยพรำพรม อันโมโหโทโสไม่อดได้ ที่ชาวบ้านท่านไม่รู้จะรู้ความ เอาใจผัวผัวจะรักเจ้าหนักหนา แม้นผัวทุกข์ขุกไข้ไม่เสบย จงแย้มสรวลชวนปลอบให้ชอบชื่นค่อยถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงฤทัย จะพูดจาสารพัดประหยัดปาก ความสิ่งไรในจิตจงปิดงำ การสิ่งไรที่ชั่วผัวเขาห้าม อย่าดึงดื้อถือตนเป็นคนเชือน
๏ แม้นพิโรธโกรธขึ้งกับภัสดา พึ่งข่มขืนกลืนไว้ในอุรัง จึงจะว่านารีมีความคิด ถึงใครรู้อยู่ว่าคมต้องชมเรา การนินทาด่าผัวนั้นชั่วถ่อย ถึงร้างหย่าหาใหม่วิสัยมี บ้างทำกลัวตัวสั่นแต่ต่อหน้า ครั้นผัวเดินเกินเลยเฉยเฉียดไป ทำเสงี่ยมเจียมตัวผัวไม่เห็น ครั้นว่าเขาเข้าใจรู้ไหวพริบ
๏ บางนารีที่เป็นนางใจร้ายกาจ สำรากก้องร้องแทรกแหกกระแซง ขู่คำรนบ่นว่าด่าประชด ลุอำนาจไม่อาจขยาดตัว ทรมานภัสดาน่าสังเวช ยังมิหนำซ้ำป่าวเหล่านารี ข้างฝ่ายผัวใจดีมิได้ว่า ดูเหมือนแม่กับลูกผูกขึ้นชู ช่างกระไรใจคอมันอดได้ จึงยอมตัวกลัวเมียจนหัวมุด เหมือนเช่นเราแล้วไม่ต้องให้ตีตบจะถีบถองเสียให้ยับไล่ขับกัน
๑___สุภาษิตซึ่งประดิษฐ์มาไว้นี้ ใช่จะแกล้งแต่งคำมารำพัน จะร่ำไปสักเท่าไรก็ไม่หมด อุตส่าห์ตรองตริตรึกนึกจำเนียร พอเป็นเรื่องสำหรับดับทุกข์โทษ เป็นตำหรับแบบฉบับไปยืดยาวข้อไหนชั่วแล้วอย่ามัวไปขืนทำ เก็บประกอบเอาแต่ชอบในเรื่องความอย่าฟังเปล่าเอาแต่กลอนสุนทรเพราะไว้เป็นแบบสอนตนพ้นราคี ให้สุขีศรีเมืองเลื่องลือฟุ้ง เป็นที่ชื่นเช่นอย่างนางสีดา
เคยเข้าเฝ้าสู่วังนรังศรีหมากบุหรี่หาใส่ให้ไปกินตามทำนองมิ่งมิตรเป็นนิจสินจึงจะภิญโญยศปรากฎไป
อย่าทอดทิ้งกริยาอัชฌาสัย ใครเขาไม่สรรเสริญเมินอารมณ์อย่าพอใจขึ้นเสียงเถียงประสมแม้นระดมขึ้นทั้งคู่จะวู่วามความในใจก็จะดังออกกลางสนามอย่าทำตามใจนักมักจะเคยหมั่นนำพาการเรือนอย่าเชือนเฉยอย่าวายเวยลามลวนให้กวนใจเห็นเริงรื่นหัทยาจึงปราศรัยแม้นสิ่งไรเขาไม่ชื่นอย่าขืนทำอย่าพูดมากเติมต่อซึ่งข้อขำอย่าควรนำแนะออกไปนอกเรือนประพฤติตามแบบแผนให้แม้นเหมือนจะเอ่ยเอื้อนโอภาให้น่าฟัง
อย่านินทาว่าผัวตัวลับหลังอุตส่าห์บังกลบเกลื่อนที่เงื่อนเงารู้ปกปิดมิดโทษไม่โฉดเขลาหนึ่งผัวเขาเล่าก็เห็นว่าเป็นดีเป็นคนน้อยปัญญาเสียราศีชายที่ดีรู้กำพืดก็จืดไปถึงตีด่าก็นิ่งไม่ติงไหวก็ด่าให้ไม่ดังตั้งกระซิบดูเหมือนเช่นปากว่าตาขยิบก็ต้องริบต้องร้างระคางแคลง
หมิ่นประมาททุ่มเถียงส่งเสียงแข็งตะคอกแกล้งข่มขี่ให้ผัวกลัวให้สามีอัปยศลงหดหัวมัดมือผัวผูกแขนแค่นเฆี่ยนตีดูเหมือนเปรตเวทนาน่าบัดสีที่ไม่มีภัสดาให้มาดูนิ่งให้เมียเฆี่ยนด่าน่าอดสูมิได้สู้รบรับสัประยุทธ์ดูเหมือนไม่มีจิตผิดบุรุษน้อยมนุษย์ที่จะเป็นได้เช่นนั้นคงสู้รบโต้เต็มให้เข้มขันร้างหย่ามันเสียให้ค้างอยู่กลางคัน
ล้วนแต่มีเยี่ยงอย่างดังเสกสรรคนทุกวันอย่างนี้มีอาเกียรณ์ขี้เกียจจดเหน็ดเหนื่อยเมื่อยมือเขียนตั้งความเพียรผูกข้อต่อเรื่องราวเป็นประโยชน์แก่สตรีที่สวยสาวในเรื่องราวสุภาษิตลิขิตความจงจดจำบุญบาปอย่าหยาบหยามประพฤติตามห้ามใจเสียให้ดีจงพิเคราะห์คำเลิศประเสริฐศรีกันบัดสีคำค่อนคนนินทาหอมจรุงกลิ่นกลั้วทั่วทิศาในใต้หล้าหมายประคองตัวน้องเอย

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พูดจาดีมีสง่า


พูดจาสง่างาม

โบราณเคยบอก "พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วอัปราชัย" หลายคนมาแผลงเป็น "พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากจะมีสี" จะยึดคำกล่าวไหนก็ได้ค่ะ เพราะหัวใจสำคัญอยู่ที่การ "พูดให้ดี"ทำไมต้องพูดให้ดี... เพราะการพูดให้ดีนั้น ฟังแล้ว "เข้าหู" ชวนฟัง ชวนให้คล้อยตาม ชวนให้รู้สึกประทับใจและก่อให้เกิดสิ่งดี ๆ ตามมาได้อีกมากมาย

การพูดเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตค่ะ เพราะตลอดทั้งชีวิต เราต้องอาศัยการพูดเป็นการสื่อสารที่สำคัญ พูดไม่เป็น พูดไม่เข้าหูคน หรือพูดแล้วคนอยากพาไป "ผ่าสุนัขออกจากปาก" อย่างที่เขาล้อ ๆ กันนั้น ท่าทางชีวิตจะย่ำแย่ ดังนั้นมาเรียนรู้การพูดการจาให้เป็นสง่าราศีแก่ชีวิตดีกว่าค่ะ

1.คนจะพูดดีได้ต้องเริ่มจากคิดดีไม่มีประโยชน์ที่เราจะเริ่มต้นจากการคิดร้ายแม้กับคนที่เราไม่ถูกชะตาด้วยที่สุด ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องพูดจาไม่ดีกับเขา การคิดดี ถือเป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์ เป็นพื้นฐานของจิตใจที่ดีงาม ใครก็ตามที่รู้จักคิดดี เขาก็จะเห็นแง่งามของโลกของชีวิต ของตนเอง และของผู้อื่น เมื่อเห็นแง่งามหรือแง่ดีของสิ่งต่าง ๆ เขาก็ย่อมมีทัศนคติที่ดี มีท่าทีที่ดีและเมื่อต้องพูดจากเสวนากัน เขาก็ย่อมพูดจาดี การพูดจาดี ไม่เพียงแต่สะท้อนการให้เกียรติและเคารพในตัวคนอื่น แต่ยังสะท้อนการให้เกียรติและเคารพตนเองอีกด้วย คนจะพูดจาดีได้ต้องรับการอบรมมาดี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ดิฉันขอย้ำอีกครั้งว่า บุคลิกภาพดี ๆ เริ่มต้นที่ครอบครัว การพูดจาดีก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องเริ่มจากในบ้าน พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างของคนที่พูดจาดี ๆ ต่อกัน ต้องเป็นผู้ชี้แนะคุณค่าของการพูดดี พูดดีในที่นี้หมายความว่าอะไร หมายความว่าพูดเพราะ พูดคำสุภาพ มีน้ำเสียงที่สุภาพ มีหางเสียงครับ ค่ะ จ๊ะ จ้ะ เพื่อแสดงความมีมารยาท มีไมตรีจิต ไม่พูดคำหยาบ ไม่ใส่ร้าย ไม่ตะคอกตะเบ็งใส่กัน ไม่ประชดประชัน ไม่โกหกพกลม คนจะพูดดีเช่นนี้ได้จะคิดร้ายอยู่ในใจไม่ได้แน่นอนเพราะความร้ายกาจในใจจะเผยมาทางคำพูด น้ำเสียง แววตา หรือท่าทีขณะที่พูดได้ จึงจำเป็นต้องฝึกตนให้เป็นคนคิดดี

2.พูดถูกกาลเทศะ ไม่ใช่ตลอดเวลาหรอกค่ะ ที่คนเราจะพูดได้ ต้องมีบ้างบางขณะที่เราหยุดพูด เพื่อเป็นผู้ฟังคนอื่นพูดบ้าง คนบางคนถูกตั้งข้อสังเกตว่า "ผีเจาะปากมาพูด" คือพูด ๆๆๆๆ ฟังไม่เป็น ไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นพูด ทำตัวเป็นผู้รู้ไปหมดทุกเรื่อง จึงพูดอยู่ตลอดเวลาคนแบบนี้น่ารำคาญ จริงไหมคะ อย่าทำตัวน่ารำคาญ ด้วยการพูดจาไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ดูวาระและโอกาส คนพูดเป็นจะรู้ว่าโอกาสไหนควรพูด โอกาสไหนควรฟัง และโอกาสไหนควรวางเฉย คนที่รู้จักพูดเขาจะดูสถานที่ และเลือกวิธีพูดจาให้เหมาะสมกับผู้ฟังและสถานที่ ผู้ฟังที่อาวุโสกว่าเรา เราต้องพูดด้วยท่าทีและน้ำเสียงอย่างหนึ่ง เป็นเพื่อนกันก็พูดอย่างหนึ่งเป็นน้องเป็นนุ่งเราก็ต้องพูดอีกแบบหนึ่ง พูดในที่ประชุมจะเหมือนพูดในกลุ่มเพื่อนไม่ได้ พูดคุยกับเพื่อนก็อย่าทำตัวน่าเบื่อเหมือนบรรยายวิชาการ การปรับตัวหรือพลิกแพลงตามสถานการณ์ที่ต่างกันไปเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเรียนรู้ หลักการพูดให้ถูกกาลเทศะทำได้ง่าย ๆ คือ ดูว่าเราต้องพูดในหัวข้อไหน เรื่องอะไร พูดที่ไหน ใครฟัง ผู้ฟังกี่คน ฟังกันในที่เปิดเผยหรือในห้องจำกัด พูดสั้นหรือพูดยาว จริงจังหรือกันเอง ใครอ่านสถานการณ์ออก เตรียมตัวพร้อม ก็สามารถพูดจาได้น่าจดจำตามวาระและโอกาสนั้น ๆ ได้เสมอ
3.พูดมีเนื้อหาสาระ ห้ามพูดเรื่อยเปื่อย ไม่ว่าจะคุยกันกับเพื่อน ผู้ร่วมงานพ่อแม่ หรือพูดในที่ประชุมหรือที่สาธารณะ ก็ต้องมีเป้าหมายในการพูด พูดอย่างมีสาระ มีขอบเขตชัดเจนว่าต้องการสื่อสารเรื่องอะไร หรือต้องการจะบอกกับผู้ฟังว่าอะไร
4.พูดจาให้น่าฟังน้ำเสียงที่กังวานแจ่มใส ดังพอประมาณ พูดจาฉะฉานชัดเจน จะดึงดูดความสนใจจากผู้ฟังได้มาก การพูดในบ้างครั้งต้องพูดปากเปล่า แต่บ่อยครั้งก็ต้องพูดผ่านไมโครโฟน หากมีโอกาสฝึกฝนเรื่องการใช้เสียงอย่างเหมาะสมทั้งแบบปากเปล่าและผ่านไมโครโฟนได้ ก็ควรทำ เพราะการพูดผ่านไมโครโฟนนั้น ต้องมีระยะใกล้ไกลระหว่างปากกับไมโครโฟนที่พอเหมาะ เสียงจึงจะชัดเจน ไม่มีเสียงเสียดแทรกจนผู้ฟังรู้สึกไม่สบายหู หรือรำคาญ ในการพูดนั้น ควรมีการเน้นจังหวะและเว้นจังหวะเพื่อให้เกิดความน่าสนใจ ชวนติดตาม ควรฝึกลมหายใจระหว่างการพูดอย่างให้ติดขัด ดูเหมือนหอบเหนื่อย หรือกักลมหายใจจนผู้ฟังเห็นแล้วอึดอัด หรือรู้สึกเหนื่อยแทน การออกเสียงอักขระ ร.เรือ ล.ลิง และคำควบกล้ำต้องชัดเจน ลองฝึกอ่านออกเสียง หรือพูดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งในเทป แล้วเปิดฟังบ่อย ๆ จะพบข้อบกพร่องและแก้ไขได้ง่าย

5.พูดให้เกิดความรู้สึกร่วม วิธีการง่าย ๆ คือ สบตากับผู้ฟังอย่างทั่วถึง ตั้งคำถามในขณะพูดแล้วค่อย ๆ อธิบายเพื่อนำไปสู่คำตอบ สอบถามผู้ฟังบ้างในบางหัวข้อที่ง่าย ๆ หรือเป็นเรื่องของประสบการณ์ เป็นเรื่องของความคิดเห็นที่ไม่ใช่เรื่องซึ่งเมื่อตอบแล้วอาจถูกหรือผิดผู้พูดจำเป็นต้องรู้พื้นภูมิของผู้ฟังบ้าง เพื่อพูดในภาษาที่เขาเข้าใจง่าย บางครั้งการพูดด้วยสำเนียงท้องถิ่นก็ทำให้ผู้ฟังรู้สึกดี รู้สึกเป็นกันเอง อย่าพูดไทยผสมกับภาษาต่างประเทศโดยไม่อธิบาย เลือกใช้ภาษาต่างประเทศเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และยกตัวอย่างที่คาดว่าผู้ฟังน่าจะมีประสบการณ์ร่วม อย่ายกตัวอย่างไกลตัว การพูดเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของคนเรา เป็นภาพฟ้องอุปนิสัยใจคอ จึงไม่อาจพูดจาเรื่อยเปื่อย ไร้จุดหมาย ไร้การระมัดระวังได้ การพูดนำมาซึ่งมิตรและศัตรู แต่ก็นั่นแหละ เราเลือกได้นี่คะว่าจะพูดให้ได้เพื่อน หรือพูดให้ได้ศัตรูการพูดทำให้คนเราดูดีหรือดูแย่ได้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราเลือกอะไร

การออกกำลังกาย



การออกกำลังกายไม่ได้หมายถึงการต้องไปแข่งขันกีฬากับผู้อื่น แต่การออกกำลังกายเป็นการแข่งขันกับตัวเอง หลายคนก่อนจะออกกำลังกายมักจะอ้างเหตุผลของการไม่ออกกำลังกาย เช่น ไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่ ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ ปัญหาเกี่ยวกับอากาศ ทั้งหมดเป็นข้ออ้างที่จะไม่ออกกำลังกาย แต่ลืมไปว่าการออกกำลังกายอาจจะให้ผลดีมากกว่าสิ่งที่เขาเสียไป

การดูแลสุขภาพ


12 วิธีการดูแลสุขภาพ
ศาสตร์แพทย์แผนจีนเป็นภูมิปัญญาที่มีการปฏิบัติและสืบทอดมาอย่างยาวนาน มีข้อสรุปของแพทย์จีนที่มีชื่อเสียง รวมถึงคำสอนที่ต่อเนื่องกันมาเป็นหลักปฏิบัติตัวง่าย ๆ ลองนำไปใช้กันนะ
เคล็ดลับการดูแลสุขภาพพื้นฐาน ๑๒ ข้อ
๑. ต้องหวีผมบ่อย ๆ
อาจใช้นิ้วทั้ง ๑๐ หรือหวี ทำการหวีผมบ่อย ๆ จะช่วยทำให้ตาสว่าง ทำให้รากผมแข็งแรง
๒. ต้องถูใบหน้าบ่อย ๆ
ใช่ฝ่ามือ ๒ ข้างถูหน้าบ่อย ๆ ให้เลือดมาเลี้ยงใบหน้า ทำให้ใบหน้าเปล่งปลั่ง ลบริ้วรอยเหี่ยวย่น
๓. ต้องเคลื่อนไหวดวงตาบ่อย ๆ
บริเวณดวงตา เคลื่อนไหว มองไกล-มองใกล้ มองข้าง มองเข้าใน มองบน มองล่าง
๔. ต้องดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูบ่อย ๆ
เป็นการกระตุ้นการไหลเวียเลือดบริเวณใบหู ช่วยป้องกันการเกิดเสียงดังในหู หูตึง เวียนศีรษะ รวมทั้งเป็นการบำรุงตานเถียน ตำแหน่งที่เก็บพลังของร่างกายใต้สะดือ สัมพันธ์กับไตซึ่งเปิดทวารที่หู
๕. ต้องหมั่นขบฟันเสมอ
ขบเบา ๆ วันละหลายสิบครั้ง ช่วยทำให้ฟันแข็งแรง กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย
๖. ดันเพดานปากด้านบนด้วยลิ้นบ่อย ๆ
การใช้ปลายลิ้นกระตุ้นเพดานบนด้านหน้า เป็นการกระตุ้นจะดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลังของเส้นลมปราณตู๋และเยิ่น (ซึ่งเป็นเส้นลมปราณควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าของร่างกาย) และเป็นการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ น้ำลาย
๗. ต้องกลืนน้ำลายบ่อย ๆ
ควรฝึกกลืนน้ำลายบ่อย ๆ นอกจากเป็นการเคลื่อนไหวพลังบริเวณคอหอย แล้วยังช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารด้วย
๘. ของเสียต้องหมั่นขับทิ้ง
อุจจาระ และปัสสาวะ ต้องหมั่นขับทิ้ง ไม่ควรเก็บสะสมไว้ในร่างกายนานเกินไป เพราะจะทำให้เกิดโรคของลำไส้ และโรคทางเดินปัสสวะ (การตกค้างของของเสียสัมพันธ์กับการดูดซึมสารพิษกลับสู่ร่างกายอันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายระบบรวมถึงมะเร็ง)
๙. ต้องถูหรือนวดท้องบ่อย ๆ
ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกา ช่วยทำให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น ลดไขมันหน้าท้อง เสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อหน้าท้อง ป้องกันกระเพาะอาหารหย่อนยาน
๑๐. ขมิบก้นบ่อย ๆ
แต่ละวันควรจะต้องขมิบก้นวันละหลายครั้ง สามารถทำได้ทุกเวลา แม้ขณะทำงาน ยืน นั่ง นอน เป็นการป้องกันริดสีดวงทวารและป้องกันอาการท้องผูกได้
“ร่างกายคนถ้าอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ โดยไม่เคลื่อนไหว หรืออยู่ในท่าที่ข้อใดข้อหนึ่งหยุดนิ่งนาน ๆ จะทำให้เกิดโรคได้ง่าย”
๑๑. ต้องเคลื่อนไหวข้อทุกข้อ
ร่างกายคนถ้าอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ โดยไม่เคลื่อนไหว หรืออยู่ในท่าที่ข้อใดข้อหนึ่งหยุดนิ่งนาน ๆ จะทำให้เกิดโรคได้ง่าย เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อผิดปกติ ขาดความยึดหยุ่น ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย จึงต้องสร้างสมดุลของกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ตรงข้ามกันโดยการเคลื่อนไหวข้อต่าง ๆ (โบราณใช้วิชาชี่กง ฝึกไท้เก้ก หรือฝึกโยคะ นั่นเอง)
๑๒. ถูผิวหนังบ่อย ๆ
ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย (เหมือนกับถูตัวเวลาอาบน้ำ) ช่วยทำให้เลือดและพลังไหลเวียนกล้ามเนื้อ ผิวหนัง มีความยึดหยุ่น มีความเปล่งปลั่ง
โบราณกล่าวว่าการปฏิบัติเคล็ดลับดูแลสุขภาพพื้นฐาน ๑๒ ข้อนี้เป็นประจำ นอกจากจะปฏิบัติได้ง่ายแล้ว ยังประหยัดเงิน และรับรองเกิดผลดีอย่างแน่นอน ไม่เชื่อก็ลองดู