วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554
เพลงชาวไทย
ชาวไทย
งามแสงเดือน
งามแสงเดือน
ระบำทวารวดี
ระบำทวารวดี
ระบำศรีชัยสิงห์
ระบำศรีชัยสิงห์
ระบำสุโขทัย
ระบำสุโขทัย
ระบำศรีวิชัย
ระบำศรีวิชัย
ระบำลพบุรี
ระบำลพบุรี
หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)
หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)
เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2424 ที่ตำบลดาวดึงส์ จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นบุตรคนสุดท้องของนายสิน และนางยิ้ม ศิลปบรรเลง ท่านเป็นผู้มีความสามารถและรักทางดนตรีมาตั้งแต่อายุยังน้อย สามารถตีฆ้องวงได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ได้เริ่มหัดเรียนดนตรีจากบิดาในวิชาปี่พาทย์อย่างเอาจริงเอาจัง ท่านได้ออกงานใหญ่ครั้งแรกในงานโกนจุก เจ้าจอมเอิบ และเจ้าจอมอบ ธิดาเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธ์ จังหวัดเพชรบุรี ท่านได้แสดงฝีมือ ระนาดเอก จนเป็นที่เลื่องลือกันในหมู่นักดนตรี ใน พ.ศ. 2443 กรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์ วรเดช เอาตัวไปเป็นมหาดเล็กเพราะทรงพอพระทัยในฝีมือการบรรเลง ในปี่ พ.ศ. 2451 หลวงประดิษฐ์ไพเราะนั้นคือ จางวางศร ศิลปบรรเลง ได้จำเพลงชวามาหลายเพลง (จากคราวที่ได้มีโอกาสไปชวา) ได้รำมาเรียบเรียงแต่งขึ้นเป็นเพลงตามหลักดุริยางค์ไทย เช่นเพลง "มูเซ็นซ๊อค) และ "ยะวา" เป็นต้น พร้อมกับได้นำอังกะลุง เข้ามาเล่นเพลงไทยเป็นคนแรกโดยนำมาฝึกมหาดเล็กในวังบูรพาภิรมย์จนสามารถนำออกแสดงครั้งแรกหน้าพระที่นั่งในงานกฐินพระราชทาน ณ วัดราชาธิวาส เป็นเหตุให้เกิดการเล่นอังกะลุงกันอย่างแพร่หลายตราบเท่าทุกวันนี้ ในปี พ.ศ. 2458 จางวางศร ได้นำเพลง "เขมรเขาเขียว" 2 ชั้น ของเก่ามาประดิษฐ์เป็น 3 ชั้น ใช้ทำนองครออย่างอ่อนหวานผิดกว่าเพลงที่เคยบรรเลงโดยทั่วไป และเรียกชื่อเพลง "เขมรเลียบนคร" ใน พ.ศ.2467 จางวางศรได้ประดิษฐ์ เพลงรับและร้อง เพลงโอ้ต่าง ๆ เพื่อบรรเลงในการเล่นพิธีเปิดประตูน้ำท่าหลวง จังหวัดสระบุรี และในสมัยนั้นท่านได้ปรับปรุงเพลงไทยเดิมต่าง ๆ ให้เป็นเพลงเถาขึ้นหลายสิบเพลงพร้อมทั้งปรับปรุงวงดนตรีไทยให้ดีขึ้น การแสดงแต่ละคราวนี้เป็นที่พอพระราชหฤทัยของรัชกาลที่ 6 เป็นอย่างยิ่ง ต่อมาจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระราชทินนามและบรรดาศักดิ์ให้เป็น "หลวงประดิษฐ์ไพเราะ" และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย และเหรียญราชรุจิด้วย ต่อมาได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นปลัดกรมปี่พาทย์หลวง กระทรวงวัง พอถึงรัชกาลที่ 7 หลวงประดิษฐ์ไพเราะร่วมกับหลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น ดุริยชีวิน) ได้รับราชการเป็นผู้ถวายวิชาดนตรีไทยแด่รัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระบรมราชินี และในคราวตามเสด็จไปอินโดจีน พ.ศ.2473 ก็ได้ศึกษาเพลงเขมรมาหลายเพลงเช่น เพลง "นกเขาขะแมร์" "ศรีโสภณ" "ซองซาประเค๊ป" "เดรอว" " อังโกเลี้ยก" ในปี พ.ศ. 2472 ได้เป็นหัวหน้าบอกทำนองในคราวบันทึกไทยลงเป็นโน้ตสากล ณ วังวรดิศ ท่านเป็นผู้มีพรสวรรค์ดนตรี มีสติปัญญา และฝีมือในทางดนตรี มีความขยันหมั่นเพียร จนมีฝีมือชื่อเสียงในวงการดนตรีไทย ท่านเป็นนักดนตรีที่มีโชคในทุก ๆ ทาง เป็นผู้ได้บรรลุแล้วซึ่งความสำเร็จในชีวิต นับแต่เกิดได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากบิดามารดาได้ศึกษาเล่าเรียน ครั้นเติบใหญ่ก็มีความสามารถพิเศษในการดนตรี เจ้านายทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงให้ได้บวชเรียน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร 1 พรรษา ต่อจากนั้นก็ทรงพระกรุณาจัดการแต่งงานให้กับ นางสาว โชติ หุราพันธ์ ธิดาพันโท พระประมวล ประมาณผล ในด้านชีวิตครอบครัวท่านก็สามารถสร้างหลักฐานบ้านช่องได้อย่างมั่นคง เพราะมีภริยาที่ดีสามารถในการจัดการบ้านเรือนและอื่น ๆ โดยที่ท่านไม่ต้องมาเป็นกังวล จึงกล่าวได้ว่า "ชีวิตของท่าน คือดนตรี และ ดนตรีคือชีวิตของท่าน ท่านใช้เวลาของท่านอย่างเต็มที่ประมาณ 60 ปี สร้างสรรค์ ดุริยางศิลป์ให้แผ่ไพศาล กล่อมชาติไทยด้วยเพลงไพเราะ ท่านได้แต่งเพลงไว้มากมายจำนวนถึงกว่าร้อยเพลง ท่านเป็นนักดนตรีที่มีความคิดใหม่ ๆ แปลก ๆ ในการที่จะปรับปรุงการดนตรีไทยให้ดียิ่งขึ้น เช่น เป็นต้นตำรับเพลงกรอที่มีลีลาอันไพเราะอ่อนหวาน ซึ่งได้แก่ เพลงเขมรเลียบนคร , เขมรพวง, ไส้พระจันทร์ ฯลฯ เป็นต้นตำรับการเปลี่ยนแปลงเพลงเป็นทางต่าง ๆ ซึ่งได้แก่เพลงพราหมณ์ดีดน้ำเต้า , ลาวเสี่ยงเทียน, ช้างประสานงา และเพลงโอ้ต่าง ๆ เป็นต้นตำรับการเดี่ยวขิม 7 ตัว และเดี่ยวระนาด 2 ราง เป็นต้นกำเนิดเพลงที่มีลูกนำขึ้นต้น และเพลงที่แสดงความหมายของธรรมชาติอย่างแท้จริง ซึ่งได้แก่เพลง แสนคำนึง เพลงตับภมริน และนกเขาขะแมร์ ฯลฯ ท่านยังเป็นผู้นำเพลงไทยเข้าไปเผยแพร่ในกัมพูชา เป็นผู้นำอังกะลุงของชวาเข้ามาเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงใช้บรรเลงในประเทศไทยเป็นคนแรก เป็นผู้ริเริ่มการแต่งเพลง 3 ชั้น เพลง 4 ชั้น คือเพลงพม่าห้าท่อนสี่ชั้น พราหมณ์ดีดน้ำเต้า 4 ชั้น ดาวจระเข้ 4 ชั้น และเพลงเขมรไทยโยค 4 ชั้น นอกจากนี้ยังเคยนำทางเดี่ยวขิมเพลงแป๊ะ ให้นักเรียนนาฏศิลป์กรมศิลปากร บรรเลงด้วยขิมหลายสิบตัวพร้อมกัน
เพลงทุกเพลงที่ท่านแต่งล้วนมีทำนองไพเราะน่าฟัง และมีลีลาพิศดารแปลกกว่าผู้อื่น ทำให้เป็นที่นิยมกันแพร่หลาย ท่านเป็นผู้มีความจำดี มีเชาว์และปฏิภาณในวิชาดนตรีอย่างล้ำเลิศ สามารถจำเพลงต่างๆ ได้เป็นพัน ๆ เพลงโดยไม่ต้องอาศัยโน้ต เพลงที่ท่านแต่งโดยใช้ปฏิภาณ เช่นเพลงอะแซหวุ่นกี้ ท่านเป็นครูสอนที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง โรงเรียนราชินี โรงเรียนนาฏศิลป์ กรมศิลปากร และที่คุรุสภา การสอนการถ่ายทอดความรู้ของท่านเป็นยาอายุวัฒนะของท่าน ท่านสอนได้เกือบทุกเครื่องบรรเลงตลอดจนการขับร้อง ศิษย์ของท่านเป็นผู้มีฝีมือ เป็นต้นว่าครูบุญยง เกตุคง และครูประสิทธิ์ ถาวร มือระนาดเอกมือหนึ่งของไทย นอกจากนี้ยังมี ท่านศาสตราจารย์ ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์ ครูโองการคลับชื่น อาจารย์ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ ศิษย์ผู้มีความเชี่ยวชาญในการประพันธ์ ประวัติศาสตร์และวรรณคดี
เมื่ออายุย่าง 72 ปี ท่านมีสุขภาพทรุดโทรมลงตามวัย และได้ล้มเจ็บลงด้วยโรคลำไส้และโรคหัวใจ ท่านได้ถึงแก่กรรม ณ บ้านศิลปบรรเลง ถนนบริพัตร พระนคร เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497 เวลา 19.45 น. รวมอายุ 72 ปี 7 เดือน 2 วัน มรณกรรมของท่านเป็นการสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของชาติ ควรแก่การสรรเสริญ การทนุถนอม และนับถือว่าเป็นวัฒนธรรมประจำชาติอันสูงส่ง
ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี
ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี
นามเดิม ชื่อ แผ้ว นามสกุลเดิม คือ สุทธิบูรณ์
เกิด เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2466 ตรงกับวันศุกร์ เดือนยี่ ขึ้น 7 ค่ำ ปีเถาะ
การศึกษา
พ.ศ. 2454 เมื่ออายุได้ 8 ปี ได้เข้าถวายตัวในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าอัษฎางค์ เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา โดยในชั้นต้นได้เข้าฝึกหัดนาฏศิลป์ต่อครูบาอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิอยู่ในราชสำนักขณะนั้น ได้ออกแสดงเป็นตัวเอก ในการแสดงถวายทอดพระเนตรหน้าพระที่นั่ง ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวหลายครั้ง
พื้นความรู้วิชาสามัญ
จบการศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนในวังสวนกุหลาบ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
การสมรส
ต่อมาได้เป็นหม่อมในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฏางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา
ด้านความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสังคมในต่างประเทศ
ได้เคยติดตามร่วมไปกับพลตรี หม่อมสนิทวงศ์เสนี (ม.ร.ว.ตัน สนิทวงศ์) เมื่อครั้งไปรับราชการเป็นทูตทหาร ณ ประเทศฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี และโปรตุเกส
ความรู้ทางนาฏศิลป์
ได้รับการฝึกหัดอบรมจากครูนาฏศิลป์ในราชสำนัก เช่น เจ้าจอมมารดาวาด (ท้าววรจันทร์) ในรัชกาลที่ 4 เจ้าจอมมารดาเขียน (ร.4) เจ้าจอมมารดาทับทิม (ร.5) หม่อมแย้ม (อิเหนา) ในสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริวงศ์ หม่อมอึ้ง ในสมเด็จพระบัณฑูรฯ จนมีความชำนาญและแสดงเป็นตัวเอกในการแสดงถวายทอดพระเนตรหน้าพระที่นั่งหลายเรื่อง เช่น เป็นตัวอิเหนา และนางดรสา ในเรื่องอิเหนา เป็นตัวทศกัณฐ์และพระพิราพในเรื่องรามเกียรติ์ เป็นตัวนางเมขลาฯลฯ
การรับราชการ
เข้ารับราชการเป็นลูกจ้างชั่วคราว ในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทย กองการสังคีต กรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาฝ่ายวิชานาฏศิลป์ของสถาบันการศึกษา องค์การ และเอกชนอื่นๆ
ผลงาน
ผลงานเกี่ยวกับการแสดงศิลปะนาฏกรรม เช่น ท่ารำของตัวพระ นาง ยักษ์ ลิง และตัวประกอบ การแสดงโขน ละครชาตรี ละครนอก ละครใน ละครพันทาง และระบำฟ้อนต่างๆ เป็นผู้คัดเลือกการแสดง จัดทำบทและเป็นผู้ฝึกสอน ฝึกซ้อม อำนวยการแสดงถวายทอดพระเนตรหน้าพระที่นั่ง ในวโรกาสต้อนรับพระราชอาคันตุกะ อาคันตุกร และงานของรัฐบาล หน่วยงานองค์กรต่างๆ จัดต้อนรับเป็นเกียรติแก่แขกผู้มาเยือนประเทศไทย เป็นผู้คัดเลือกตัวละครให้เหมาะสมตามบทบาทในการแสดงต่างๆ เป็นผู้คัดเลือกการแสดงวางตัวศิลปินผู้แสดงต่างประเทศเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยเป็นผู้ฝึกสอนและอำนวยการฝึกซ้อมในการแสดงโขน ละคร การละเล่นพื้นเมิง ระบำรำฟ้อนต่างๆ ที่กรมศิลปากรจัดแสดงแก่ประชาชน ณ โรงละครแห่งชาติ สังคีตศาลา ในต่างจังหวัดและทางสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ตลอดทั้งร่วมในงานของหน่วยราชการ องค์กร สถาบันการศึกษา และเอกชน เป็นวิทยากรบรรยายและตอบข้อซักถามในการอบรมวิชานาฏศิลป์และวรรณกรรม และเป็นที่ปรึกษาในการสร้างนาฏกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นด้วย
ในด้านบทวรรณกรรมสำหรับใช้แสดง ได้ค้นคิดปรับปรุง เสริมแต่งให้เหมาะสมกับยุคสมัย ดำเนินไปโดยถูกต้องตามระเบียบแบบแผนอันมีมาแต่ดั้งเดิม เช่น บทละครเรื่องอิเหนา ตอนเข้าเฝ้าท้าวดาหา ตอนลมหอบ ตอนอุณากรรมชนไก่ ตอนบุษบาชมศาล ตอนศึกกระหมังกุหมิง ตอนประสันตาต่อนัก เรื่องสังข์ทอง ตอนเลียบเมือง ตอนเลือกคู่หาปลา ตอนตีคลี ตอนนางมณฑาลงกระท่อม เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพลายเพชรพลายบัวออกศึก ตอนพระไวยแตกทัพ เรื่องไกรทอง ตอนที่ 1 ตะเภาแก้ว ตะเภาทอง และบริวารไปเล่นน้ำ ตอนที่ 2 ตามนางวิมาลากลับไปถ้ำ เรื่องพระอภัยมณี ตอนพบนางละเวง ตอนนางละเวงพบดินถนัน ตอนหนีนางผีเสื้อสมุทร เรื่องไชยเชษฐ์ ตอนนางสุวิญชาถูกขัน ตอนที่ 1 และตอนที่ 2 เรื่องมโนราห์ บางตอนเกี่ยวกับพรานบุญ เรื่องรถเสนบาง เรื่องแก้วหน้าม้า ตอนถวายลูก เรื่องสังข์ศิลป์ชัย ตอนท้าวเสนากุฏเข้าเมือง เรื่องเงาะป่า เรื่องคาวี ตอนได้นางใจกลองศึก เรื่องสุวรรณหงส์ ตอนเสี่ยงว่าว-ชมถ้ำ บทโขน ตอน ปราบกากนาสูร ตอนไมยราพสะกดทัพ ตอนศึกบรรลัยกัลป์ ตอนปล่อยม้าอุปการ
นอกจากนี้ ยังได้คิดประดิษฐ์กระบวนท่ารำขึ้นใหม่ไว้อีกมาก เช่น กระบวนท่าร่ายรำในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1-2 กระบวนท่าร่ายรำในการแสดงนาฏกรรมของกรมศิลปากร และกระบวนท่าร่ายรำชุดต่าง ๆที่กรมศิลปากรจัดแสดง
ได้รับพระราชทานเหรียญดุษฏีมาลา เข็มศิลปวิทยา เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514
ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี ถึงแก่กรรมเมื่อ 24 กันยายน พ.ศ. 2543 อายุ 98 ปี
นางลมุล ยมะคุปต์
นางลมุล ยมะคุปต์
นางลมุล ยมะคุปต์ หรืออีกชื่อหนึ่งที่บรรดาศิษย์ทั้งหลายจะขนานนามให้ท่านด้วยความเคารพรักอย่างยิ่งว่า “คุณแม่ลมุล” เป็นธิดาของร้อยโท นายแพทย์จีน อัญธัญภาติ กับ นางคำมอย อัญธัญภาติ (เชื้อ อินต๊ะ) เกิดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2448 ณ จังหวัดน่าน ในขณะที่บิดาขึ้นไปราชการสงครามปราบกบฏเงี้ยว (กบฏ จ.ศ.1264 ปีขาล พ.ศ. 2445)
การศึกษา
เริ่มต้นเรียนวิชาสามัญที่โรงเรียนสตรีวิทยา เมื่ออายุได้ 5 ขวบ เรียนได้เพียงปีเดียวบิดานำไปกราบถวายตัวเป็นละคร ณ วังสวนกุหลาย ในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ซึ่งอยู่ในความปกครองของคุณท้าวนารีวรคณารักษ์ (แจ่ม ไกรฤกษ์)
การฝึกหัดนาฏศิลป์ที่วังสวนกุหลายนั้น มีหลักและวิธีการอย่างเข้มงวดกวดขัน มีตารางฝึกตั้งแต่เช้าตรู่ และดำเนินตลอดทั้งวัน เช่น
05.00 น. เริ่มฝึกหัดรำเพลงช้า เพลงเร็วที่สนามหน้าพระตำหนัก เมื่อรำเพลงช้าเพลงเร็วจนจบกระบวนท่าแล้ว ผู้ฝึกหัดเป็นตัวพระจะแยกไปต้นเสา (ฝึกหัดเพื่อให้มีกำลังขาแข็งแรง) แล้วแยกไปเต้นแม่ท่ายักษ์ และออกกราว ผู้ฝึกหัดเป็นตัวนางก็จะได้แยกไปเต้นแม่ท่าลิง
07.00 น. พักอาบน้ำ
08.00 น. รับประทานอาหารเช้า
09.00 น. เริ่มเรียนวิชาสามัญ
12.00 น. พักกลางวัน
13.00 – 16.00 น. ซ้อมการแสดงทั้งโขนและละคร
16.00 น. เป็นต้นไป พักผ่อนตามอัธยาศัย
20.00 – 24.00 น. ฝึกซ้อมการแสดงเข้าเรื่อง ละครใน ละครนอก ละครพันทาง รวมทั้งโขน
การฝึกหัดนาฏศิลป์ดังกล่านี้ ผู้ฝึกจะต้องมีความอดทนและมีความตั้งใจจริงจึงจะสามารถปฏิบัติได้ดี ทั้งยังต้องมีพรสวรรค์เป็นพิเศษอีกด้วย นางลมุล ยมะคุปต์ เป็นผู้มีคุณสมบัติพร้อมทุกประการ จึงได้รับการคัดเลือกให้ฝึกหัดเป็นตัวพระตั้งแต่แรกเริ่ม ท่านครูที่ประสิทธิ์ประสาทวิทยาการด้านนาฏศิลป์ ให้แก่ท่านมีดังนี้ คือ
1. หม่อมครูแย้ม หม่อมละครในสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) สอนบทบาทของตัวละครเอกทางด้านละครใน เช่น อิเหนา ย่าหรันฯ
2. หม่อมครูอึ่ง หม่อมละครในสมเด็จพระบัณฑูรฯ (เข้าใจว่า คือกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) สอนในเรื่องของเพลงหน้าพาทย์ และบทบาทตัวเอก ตัวรอง
เช่น บทบาท พระวิศณุกรรม พระมาตุลี บทบาทของตัวยักษ์ เช่น อินทรชิต รามสูร ฯลฯ
3. หม่อมครูนุ่ม หม่อมในกรมหมื่นสถิตธำรงสวัสดิ์ (พระองค์เต้าเนาวรัตน์) เดิมเป็นละครในสมเด็จพระบัณฑูรฯ ท่านเป็นครูฝ่ายนาง สอนบทบาทที่เกี่ยวกับ
ตัวนาง เช่น ศุภลักษณ์อุ้มสม และบทบาทของตัวนางที่เป็นตัวประกอบ
ท่านครูที่สอนพิเศษ มีดังนี้คือ
1. ท้าววรจันทร์ (วาด) ในรัชกาลที่ 4 สอน เพลงช้านารายณ์ ซึ่งใช้สำหรับการรำบวงสรวงเทพยดาโดยเฉพาะ
2. เจ้าจอมมารดาเขียน ในรัชกาลที่ 4 สอนบทบาทตัวเอกในละครพันทาง เรื่อง ลิลิตพระลอ พญาแกรก พญาวังสัน โดยเฉพาะบทบาทของพระลอทุกตอน
3. เจ้าจอมมารดาทับทิม ในรัชกาลที่ 5 สอนบทบาทตัวเอกละครในบางตัว เช่น บทบาทของตัวย่าหรัน ตอนย่าหรันลักนางเกนหลง
4. เจ้าจอมมารดาสาย ในรัชกาลที่ 5 สอน ท่ารำ “ฝรั่งคู่” ทั้งพระและนาง
5. เจ้าจอมละม้าย ในรัชกาลที่ 5 สอน ท่ารำ “ฝรั่งคู่” ทั้งพระและนาง
6. พระยานัฏกานุรักษ์ (ทองดี สุวรรณภารต) เป็นผู้ทบทวนความรู้ และเกร็ดนาฏศิลป์ด้านต่าง ๆ และเป็นผู้ประกอบพิธีครอบ มอบกรรมสิทธิ์ให้เป็นครูเมื่ออายุได้ 18 ปี
7. คุณนัฏกานุรักษ์ (เทศ สุวรรณภารต) เป็นผู้ทบทวนและฝึกหักเพิ่มเติม วิชาการด้านนาฏศิลป์ ในระยะหลังต่อมา
8. ท่านครูหงิม เป็นครูผู้เชียวชาญในบทบาทของละครนอก และละครพันทางอย่างยิ่ง เป็นผู้ฝึกสอนบทบาทของตัวเจ้าเงาะ ในเรื่องสังข์ทองทุกตอน
เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทเพลงหน้าพาทย์ศักดิ์สิทธิ์ คือ เพลงกลมเงาะ และสอนบทบาทตัวเอกในละครพันทางเรื่อง ราชาธิราช เช่น สมิงพระราม
สิมงนครอินทร์ ราชาธิราช มิงรายกะยอชวา พระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ฯลฯ
วิชาการด้านนาฏศิลป์ที่ได้รับการถ่ายทอดจากท่านครู
1. เพลงช้า เพลงเร็ว ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
2. เพลงเชิด เสมอ ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
3. พญาเดิน ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
4. เหาะ ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้ม
5. โคมเวียน ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้ม
6. เสมอลาว ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูหงิม
7. เสมอแขก ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูหงิม
8. เสมอมอญ ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูหงิม
9. เสมอพม่า ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูหงิม
10. เสมอจีน ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
11. เสมอฝรั่ง ได้รับการถ่ายทอดจาก ท่านครูหงิม
12. สก๊อต (ระบำฝรั่ง) ได้รับการถ่ายทอดจาก ท่านครูหงิม
13. รำมะนา (ระบำฝรั่ง) ได้รับการถ่ายทอดจาก ท่านครูหงิม
14. ฉายกริช (รำกริชอิเหนา) ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้ม
15. ฉากพระขรรค์ (รำตรวจพลถือพระขรรค์) ได้รับการถ่ายทอดจาก ท้าววรจันทร์ (วาด)
16. ฉากกระบองยาว (รำตรวจพลถือกระบองยาว) ได้รับการถ่ายทอดจาก ท่านครูหงิม
17. ฉากดาบ(รำตรวจพลถือดาบ) ได้รับการถ่ายทอดจาก ท่านครูหงิม
18. รำตาว (ตาวเป็นมีดยาวชนิดหนึ่ง) ได้รับการถ่ายทอดจาก ท่านครูหงิม
19. รำกริชคู่สะระหม่า (รบกริชอิเหนา) ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้มและหม่อมครูอึ่ง
20. รำกริชเดี่ยวสะระหม่า (รบกริชอิเหนาตอนบวงสรวง) ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้ม
21. รำกริชมลายูสะระหม่าแขก ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
22. รำดาบคู่ ได้รับการถ่ายทอดจาก เจ้าจอมมารดาเขียน ร.4
23. รำกระบี่ ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้ม หม่อมครูอึ่ง
24. รำทวน ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้ม หม่อมครูอึ่ง
25. รำหอกซัด (ตอนศึกกระหมังกุหนิง) ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้ม หม่อมครูอึ่ง
26. รำง้าว (รำอาวุธเดี่ยวถวายหน้าพระทีนั่ง) ได้รับการถ่ายทอดจากหม่อมครูแย้ม หม่อมครูอึ่ง
27. ไม้จีน 14 ไม้ (ท่ารบอาวุธจีน) ได้รับการถ่ายทอดจาก ท่านครูหงิม
28. ไม้บู้จีน (ไม่รบของตัวกามนีในละครเรื่องราชาธิราช) ได้รับการถ่ายทอดจาก ท่านครูหงิม
29. กราวใน ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
30. กราวนางยักษ์ ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
31. รำเชิดฉิ่งตัดดอกไม้ (อิเหนาตัดดอกลำเจียก) ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้ม
32. รำเชิดฉิ่งลักนาง (ย่าหรันลักนางเกนหลง) ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้ม
33. รำเชิดฉิ่งจับม้า(พระมงกุฎจับม้าอุปการในเรื่องรามเกียรติ์) ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้ม
34. รำเชิดฉิ่งแผลงศร ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้ม
35. รำฝรั่งคู่ (การรำอวดฝีมือระหว่างตัวพระเอก-นางเอกเช่น อรชุน–เมขลา–อุณรุท–อุษา ฯลฯ
ได้รับการถ่ายทอดจาก เจ้าจอมมารดาสายและเจ้าจอมมารดาละม้าย ในรัชกาลที่ 5
36. รำฝรั่งเดี่ยว (การร่ายรำอวดฝีมือของตัวเอก เช่น อิเหนารำกริชตอนใต้บน ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้ม
37. ลงสรงปีพาทย์ (รำลงสรงใช้ปี่พาทย์บรรเลง เพลงโทนไม่มีบทร้อง) ลงสรงสุหร่าย (เพลงทรงสุหร่ายมีบทร้อง ลงสรงโทน (เพลงโทนมีบทร้อง) โทนม้า (เพลงโทนชมม้า) ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้ม
38. ฉุยฉายกิ่งไม้เงินทอง (สอนนางรำเบิกโรงตามบทพระราชนิพนธ์ ในรัชกาลที่ 4) ได้รับการถ่ายทอดจาก เจ้าจอมละม้ายใน รัชกาลที่ 5
39. ตระนิมิต ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
40. ตระบองกัน ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
41. ชำนาญ ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
42. รำปฐมหางนกยูง (พระมาตุลีจัดพล) ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
43. โลม-ตระนอน ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้ม
44. สาธุการ ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
45. กลมกิ่งไม้เงินทอง (รำเบิกโรงถือกิ่งไม้เงินทองใช้หน้าพาทย์เพลงกลม)ได้รับการถ่ายทอดจาก เจ้าจอมละม้ายใน รัชกาลที่ 5
46. เสมอมาร ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
47. เสมอเถร ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
48. บาทสกุณี ได้รับการถ่ายทอดจาก เจ้าจอมมารดาทับทิม
49. เชิดฉาน ได้รับการถ่ายทอดจาก เจ้าจอมมารดาทับทิมใน ร. 5 และหม่อมครูแย้ม
50. รุกรัน ได้รับการถ่ายทอดจาก พระยานัฏกานุรักษ์
51. เสมอข้ามสมุทร ได้รับการถ่ายทอดจาก พระยานัฏกานุรักษ์
52. กลมพระขรรค์ ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้ม
53. เพลงช้านารายณ์ ได้รับการถ่ายทอดจาก ท้าววรจันทร์ (วาด) ใน ร.4
54. เชิดฉิ่งศรทะนง ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้ม
55. พราหมณ์เข้า ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
56. พราหมณ์ออก ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
57. ตระนารายณ์ (หน้าพาทย์ตระนิมิตรำท่านารายณ์) ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูแย้ม
58. ตระนารายณ์บรรทมสินธุ์ ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
59. ตระบรรทมไพร ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
60. ตระสันนิบาต ได้รับการถ่ายทอดจาก หม่อมครูอึ่ง
61. กลมเงาะ ได้รับการถ่ายทอดจาก ท่านครูหงิม
นอกจากวิชาต่าง ๆ ที่ได้รับการถ่ายทอดจากท่านครูโดยตรงแล้วยังมีท่ารำและกระบวนรำอีกมากมายที่อาศัยจำจากสิ่งเคยพบเห็นซึ่งตรงกับสำนวนที่ว่า
“ครูพักลักจำ” เช่นกระบวนท่ารำแบบพม่า มอญ หลายชุดที่ได้ค้นคิดประดิษฐ์ขึ้น
ชีวิตการศึกษาในวังสวนกุหลาบ ดำเนินไปด้วยดีและประสบผลสำเร็จสูงสุด คือ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวเอก ตั้งแต่เริ่มการฝึกหัดเมื่ออายุ 6 ขวบ
จนกระทั่งกราบบังคมทูลลาจากวังสวนกุหลาบไปรับพระราชทานสนองพระคุณเป็นละครใน สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย
ณ วังเพชรบูรณ์ ร่วมกับเพื่อนละครอีกหลายท่าน ท่านได้ออกแสดงเป็นตัวเอกหลายครั้งหลายครา เท่าที่จดจำได้ก็คือ ได้ออกแสดงครั้งแรกในชีวิตเรื่องสังข์ทอง
โดยแสดงเป็นตัวหกเขย อยู่ปลายแถว ต่อมาแสดงเป็นพระมาตุลี จึงได้หน้าพาทย์ปฐมเพราะจะต้องไปจัดทัพ และได้เลื่อนขึ้นเป็นพระสังข์ทองต่อมา
ขณะที่อยู่ในวังสวนกุหลาบนั้น ท่านได้รับเกียรติสูงสุดให้เป็นตัวนายโรงของทุกเรื่องทั้งละครนอก ละครใน ละครพันทาง เช่น
ละครใน
เรื่องอิเหนา แสดงเป็น อิเหนา สียะตรา สังคามาระตา วิหยาสะกำ
เรื่องอุณรุท แสดงเป็น อุณรุท
เรื่องรามเกียรติ์ แสดงเป็น พระราม พระมงกุฎ อินทรชิต
นารายณ์สิบสอง แสดงเป็น พระนารายณ์ พระคเณศ
ละครนอก
เรื่องสังข์ทอง แสดงเป็น เขยเล็ก พระวิศณุกรรม พระมาตุลี พระสังข์ เจ้าเงาะ
เรื่องเงาะป่า แสดงเป็น ซมพลา ฉเนา
เรื่องสังข์ศิลป์ชัย แสดงเป็น สังข์ศิลป์ชัย ศรีสัณพ์
เรื่องพระอภัยมณีแสดงเป็น พระอภัยมณี ศรีสุวรรณ สุดสาคร อุศเรน เจ้ามหุต
ละครพันทาง
เรื่องลิลิตพระลอ แสดงเป็น พระลอ
เรื่องราชาธิราช แสดงเป็น สมิงพระราม สมิงนครอินทร์
เรื่องขุนช้างขุนแผน แสดงเป็น พระพันวษา พระไวย พลายบัว
ขณะที่ย้ายออกจากวังสวนกุหลาย มาอยู่ในวังเพชรบูรณ์นั้น ท่านได้เติบโตมากแล้วชีวิตในวังเพชรบูรณ์เปลี่ยนแปลงไปจากชีวิตในวังสวนกุหลาบหลายประการทั้งนี้เนื่องจาก ทูลกระหม่อมเจ้าจุฑาธุช ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้พวกละครมีความรู้ความสามารถที่จะออกไปเป็นแม่บ้านที่ดีมิใช่เพียงแต่รำละครได้เท่านั้น ครั้งแรกที่เข้าไปรับสนองพระกรุณาอยู่นั้น ตำหนักที่ประทับเพิ่งจะเริ่มลงมือก่อสร้าง ทูลกระหม่อมฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกเรือนกินนรรำ ประทานให้เป็นที่อยู่ของพวกละคร เรือนกินนรรำนี้ ตั้งชื่อตามเพลงหน้าพาทย์เพลงหนึ่ง และมีสิ่งก่อสร้างอีกหลายอย่างที่ทรงตั้งชื่อหน้าพาทย์หรือเพลงต่างๆ
ภายหลังในเรือนกินนรรำ แบ่งออกเป็นห้องเล็กๆ เพื่อให้บรรดานางละครพักอาศัย ห้องละครมีอุปกรณ์พร้อมสิ้นทุกอย่าง เปรียบได้กับหอพักในปัจจุบัน และที่สำคัญคือทุกห้องจะมีที่ประดิษฐานภาพพระพุทธรูป ภาพศีรษะพระภรตฤษี พร้อมทั้งคำนมัสการเพื่อให้พวกละครได้บูชากราบไหว้ คำนมัสการได้นำมาถ่ายทอดให้กับศิษย์หลายคน ซึ่งเป็นครูอยู่ในวิทยาลัยนาฏศิลป์
ชีวิตประจำวันในวังเพชรบูรณ์ เริ่มด้วยในตอนเช้าตรู่ทุกๆวัน พวกละครซึ่งมีหัวหน้าควบคุม 4 ท่าน จัดแบ่งเป็นหมู่ มีสมาชิกหมู่ละ 30 คน
ในแต่ละวัน 2 หมู่ จะผลัดกันควบคุมสมาชิกไปเก็บดอกไม้ (ดอกพุทธชาด) แล้วนำมาร้อยกรองเป็นพวงมาลัย วันละ 2 พวง เพื่อนำขึ้นไปทูลเกล้าฯ ถวายทูลกระหม่อมฯทั้งนี้เป็นพระประสงค์ที่จะหัดให้พวกละครได้ทำการฝีมือ หลังจากนั้นพวกละครรุ่นใหญ่ จะฝึกหักการรำเพลงช้า เพลงเร็วให้กับละครรุ่นน้อง เพื่อฝึกหัดการเป็นครูเสร็จสิ้น การสอนละครรุ่นใหญ่ จะลงฝึกซ้อมการแสดงจากบรรดาท่านครูผู้ใหญ่ เมื่อเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมถึงเวลาพัก พวกละครจะออกไปฝึกหัดการเรือนกับบรรดาข้าหลวงห้องเครื่อง ซึ่งส่วนใหญ่สมัครใจที่จะฝึกเครื่องคาว เพราะมีโอกาสได้ออกนอกบริเวณ คุณครูลมุล ก็เป็นผู้หนึ่งที่สมัครใจที่จะไปฝึกการปรุงเครื่องคาว คุณครูเฉลยท่าเดียวเท่านั้นที่สมัครใจฝึกปรุงเครื่องหวาน ซึ่งไม่มีโอกาสได้ออกนอกบริเวณ ในบางครั้งทูลกระหม่อมฯ จะโปรดให้พวกละครหัดตัดเย็บเสื้อผ้า และเครื่องนุ่งห่มแบบง่ายๆ เช่น สนับเพลาจีน ก็โปรดให้พวกละครเป็นผู้ตัดเย็บถวาย โดยอยู่ในความดูแลของคุณนางข้าหลวง
ชีวิตในวังระยะนั้น พวกละครเห็นว่าน่าเบื่อหน่าย เพราะมีงานที่ต้องทำอยู่ตลอดเวลาครั้งเมื่อเติบโตมีครอบครัวแล้ว จึงซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่สุดมิได้ การแสดงละครในวังเพชรบูรณ์ ก็ดำเนินไปตามปกติ เช่นเดียวกับวังสวนกุหลาบ คือ มีการซ้อมเข้าเรื่องในตอนกลางคืนทุกวัน สับเปลี่ยนไปตามพระประสงค์ว่าจะให้ซ้อมเรื่องใด ตอนใด โดยเฉพาะละครดึกดำบรรพ์นั้นโปรดเป็นพิเศษ ได้แสดงหลายครั้ง และควบคุมอย่างใกล้ชิด ทั้งเรื่องฉาก แสดงสี แม้เรื่องการแต่งตัวละครทุกครั้งจะทรงด้วยพระองค์เอง และอีกอย่างหนึ่งที่ควรกล่าวถึงก็คือ ทรงโปรดให้พวกละครทุกคนหัดตีฆ้องใหญ่เพื่อฝึกให้มีความเข้าใจเรื่องทำนองเพลง และจังหวะ อันเป็นคุณประโยชน์อย่างมาก กิจการละครในสำนักวังเพชรบูรณ์ดำเนินไปด้วยความราบรื่นระยะเวลาอันสั้น เพียง 3 – 4 ขณะที่ น.ส. ลมุล มีอายุได้ประมาณ 20 ปี ทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าจุฑาธุชก็สิ้นพระชนม์ ชีวิตละครที่เคยสุขสบายมาโดยตลอดก็กับวูบลงทันที เปรียบเหมือนแพแตกต่างคนก็ต่างแยกย้ายออกจากวัง กลับไปอยู่กับญาติมิตรตามเดิม