นายธนิต อยู่โพธิ์
นายธนิต อยู่โพธิ์ นายธนิต อยู่โพธิ์
นายธนิต อยู่โพธิ์ เกิดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2450 ที่ตำบลหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ จบการศึกษาชั้นต้น (ประถมศึกษาปีที่ 3) จากโรงเรียนวัดหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ แล้วเข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรมและบรรพชาอุปสมบทในวัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร สำเร็จเปรียญ 9 ประโยค แล้วลาสิกขาบท ต่อมาภายหลังได้เข้ารับราชการในกรมศิลปากร
รับราชการ
เริ่มรับราชการ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2477 สอบเข้ารับราชการในตำแหน่งเสมียนพนักงานชั้นจัตวา แผนกโบราณคดี กองศิลปากร กรมศิลปากร
22 เมษายน 2483 สอบชั้นตรี ประจำกองวรรณคดี กรมศิลปากร
1 พฤษภาคม 2486 สอบเลื่อนขั้นเป็นข้าราชการชั้นโท หัวหน้าแผนกค้นคว้า กองวรรณคดี กรมศิลปากร
1 พฤษภาคม 2488 สอบเลื่อนขั้นเป็นข้าราชการชั้นเอก หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร
17 พฤษภาคม 2499 โปรดเกล้าฯ ให้เป็นข้าราชการชั้นพิเศษ ตำแหน่งผู้อำนวยการกองการสังคีต กรมศิลปากร
15 ตุลาคม 2499 โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร และในขณะเดียวกัน ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยศิลปากร (อธิบดี) ด้วย เมื่อมีพระราชบัญญัติปรับปรุงมหาวิทยาลัยศิลปากร จึงพ้นตำแหน่งหน้าที่ในมหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2508 แต่ยังคงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากรและรับราชการอยู่ในตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร ประมาณ 12 ปี
เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากรนั้น นายธนิต อยู่โพธิ์ ได้พยายามนำเอาหลักการดำเนินงานของราชบัณฑิตยสภา สมัยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นนายกราชบัณฑิตยสภา และนำหลักการดำเนินงานของกรมศิลปากร สมัยพลตรี หลวงวิจิตรวาทการและสมัยพระยาอนุมานราชธนเป็นอธิบดีกรมศิลปากร มาศึกษาและดำเนินตามโดยแก้ไขปรับปรุงตามสภาพแวดล้อมสมัยนั้น และอาศัยที่เคยเป็นข้าราชการปฏิบัติงานในกรมศิลปากรมาแต่แรก เคยรู้ปัญหามาบ้างแล้วจึงพยายามปรับปรุงแก้ไขให้เกิดผลดีแก่ทางราชการได้พอสมควร และจะขอนำผลงานของท่านมากล่าวไว้บางประการ
ผลงานในการเสริมสร้างและพัฒนาศิลปวัฒนธรรม
1. ฟื้นฟูนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์แบบฉบับของไทย โขน ละคร ฟ้อนรำ และดนตรี ในกรมศิลปากร เนื่องจากในระยะเวลาดังกล่าวใกล้สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ศิลปะด้านนี้ของไทยเกือบจะดับสูญอยู่แล้ว และในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น โรงเรียนนาฏศิลป์ของกรมศิลปากรต้องปิดและเลิกเรียนไป โดยกรมสารวัตรทหาร (ส.ห.) เข้าครอบครองสถานที่ตั้งโรงเรียนนาฏศิลป์ ท่านจึงเป็นผู้ติดต่อขอโรงเรียนและสถานที่คืน ด้วยความพยายามอย่างหนักหน่วงและปรับปรุงหลักสูตรเปิดการสอนนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ ในโรงเรียนนาฏศิลป์ขึ้นมาใหม่ จนมีศิลปะผู้สำเร็จการศึกษาทางโขน ละคร ดนตรีไทยจากโรงเรียนนี้เป็นจำนวนมาก และสามารถเล่นโขนละครพร้อมกันได้หลายโรง มีวงดนตรีไทยหลายวงจนสามารถตั้งวงดนตรี 200 คนขึ้นได้ในกรมศิลปากร และเป็นแนวทางขยายการศึกษาบัดนี้ จนกระทั่งเป็นวิทยาลัยนาฏศิลป์
2. จัดตั้งโรงเรียนช่างศิลป์ขึ้นในกรมศิลปากร ปัจจุบันเป็นวิทยาลัยช่างศิลป์
3. จัดให้มีการแสดงโขนและละครเป็นประจำฤดูกาล ในโรงละครศิลปากรเดิมและเมื่อสร้างโรงละครแห่งชาติเสร็จก็ย้ายมาแสดงที่โรงละครแห่ชาติตลอดมา
4. จัดให้มี “ดนตรีสำหรับประชาชน” ณ สังคีตศาลา เป็นการเริ่มแรกตั้งแต่ปี 2491 เป็นต้นมา ซึ่งได้จัดให้มีการบรรเลงทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากลนับว่าเป็นการริเริ่มครั้งแรกและเป็นตัวอย่างให้มีการจัดขึ้น ณ หน่วยงานอื่นๆ ในกาลต่อมาด้วย
5. เริ่มแรกให้มี “งานสัปดาห์แห่งวรรณคดี” ขึ้นในบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และเชิญชวนให้หน่วยราชการ ห้างร้านหนังสือ สำนักพิมพ์ต่างๆ นำหนังสือร่วมจำหน่ายเป็นครั้งแรก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูการอ่านทำนองเสนาะ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และเพื่อชักชวนให้ประชาชนมีโอกาสศึกษาหาความรู้ ซึ่งเป็นผลต่อมาให้กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ สมัยนั้นปรับปรุงการอ่านทำนองกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ ขึ้น โดยติดต่อกับบุคคลที่กรมศิลปากรจัดหามาอ่านทำนองและอัดเทปอัดเสียงไว้เป็นแบบฉบับต่อมา
6. ริเริ่มจัดให้มี “งานดนตรีมหกรรม” ขึ้นเป็นประจำในต้นเดือนมีนาคมของทุกปี ณ บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นงานกลางแจ้งประมาณ 1 สัปดาห์ โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนได้ชมศิลปะการแสดงแบบต่าง ๆ และเปิดโอกาสให้ศิลปินคณะต่างๆ นำเอาศิลปะพื้นเมืองมาแสดง และเชิญชวนสถานทูต และสำนักวัฒนธรรมของชาตินั้นๆ ให้นำศิลปะการแสดงประจำชาตินั้นมาร่วมแสดงในงานมหกรรมนั้นด้วย
7. ริเริ่มจัดให้มี “โบราณคดีสัญจร” นำชมโบราณวัตถุสถานในจังหวัดต่าง ๆ ด้วยการจำหน่ายบัตร โดยมีเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากรนำอธิบายคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดี
8. ริเริ่มให้มี “วรรณคดีสัญจร” เป็นครั้งคราว คือ นำชมสถานที่และภูมิประเทศที่กล่าวไว้ในวรรณคดีสำคัญๆ เช่น ในเรื่องขุนช้างขุนแผน เพื่อให้เรียนรู้ประวัติและซาบซึ้งในวรรณคดีสำคัญเรื่องนั้นๆ
9. จัดตั้งหน่วยศิลปากรขึ้น 9 หน่วย ให้มีหน้าที่ตรวจตราดูแลรักษา ซ่อมแซมบูรณะโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ศิลปวัตถุและโบราณสถานในแต่ละหน่วยในท้องที่ของตนรวม 9 หน่วย
10. เสนอแนะให้นำหลักวิชาและฝีมือช่างทางศิลปะมาใช้เป็นหลักร่วมในการพิจารณาอายุ และสมัยของศิลปวัตถุ โบราณวัตถุและโบราณสถาน
11. จัดสร้างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในจังหวัดต่างๆ และสร้างขึ้นไว้แล้ว 7 แห่ง คือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ รวมทั้งได้ปรับปรุงพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติและโบราณวัตถุในพระนารายณ์ราชนิเวศน์จังหวัดลพบุรีให้ทันสมัย
12. ได้ริเริ่มสำรวจโบราณสถานและขุดค้นโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุในป่า ในถ้ำ และใต้ดิน ซึ่งพบโบราณวัตถุและศิลปวัตถุทั้งในสมัยประวัติศาสตร์และสมัยก่อนประวัติศาสตร์มากมาย โดยเฉพาะเรื่องราวของวัฒนธรรมบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี และวัฒนธรรมบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น
13. ได้จัดส่งข้าราชการไทยในกรมศิลปากรไปศึกษาและดูงานด้านพิพิธภัณฑสถานโบราณคดี งานหอสมุดและหอจดหมายเหตุ ณ ประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริกา ได้ก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เพิ่มเติม และปรับปรุงบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครขึ้นใหม่ กับทั้งได้ติดต่อกับยูเนสโก ขอให้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาและช่วยจัดตั้งแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุในอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ตามหลักวิชาการพิพิธภัณฑสถานสากลจนเป็นที่เรียบร้อย และเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2510 ได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
14. ดำเนินงานซ่อมปราสาทหินพิมาย ในจังหวัดนครราชสีมา จนสามารถต่อยอมตามรูปแบบขึ้นไว้ได้ และเริ่มโครงการซ่อมปราสาทหินเขาพนมรุ้งในจังหวัดบุรีรัมย์ในเวลาต่อมา
15. ริเริ่มให้มีการสำรวจและศึกษาจิตรกรรมฝาผนังในประเทศไทย โดยนำศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี ร่วมเดินทางไปสำรวจด้วยตนเอง พบจิตรกรรมฝาผนังสกุลช่างต่าง ๆ ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น ในถ้ำศิลป์ จังหวัดยะลา ภายในองค์ประปรางค์วัดมหาธาตุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น ซึ่งได้ถ่ายรูปสีและขาวดำไว้ และได้จัดออกแสดงเผยแพร่ให้ประชาชนชม พร้อมทั้งได้เขียนคำอธิบายและจัดพิมพ์เป็นหนังสือ
16. ริเริ่มจัดให้มีสัมมนาทางโบราณคดีขึ้นเป็นครั้งแรก ที่จังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก ตาก กำแพงเพชร และต่อมาได้จัดสัมมนาขึ้นที่จังหวัดชัยนาท และนครสวรรค์
17. ขยายสถานที่และกิจการหอสมุดแห่งชาติ โดยจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปศึกาดูงานหอสมุดและหดจดหมายเหตุในต่างประเทศ ปละสร้างอาคารหอสมุดแห่งชาติขึ้นที่ท่าวาสุกรี แล้วย้ายหอสมุดแห่งชาติจากตึกสังฆิกเสนาสน์ ถาวรวัตถุ ริมถนนหน้าพระธาตุมาจัดตั้ง ณ อาคารหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี และได้วางแผนผังกำหนดสร้งหอจดหมายเหตุแห่งชาติไว้บริเวณเดียวกับหอสมุดแห่งชาติ
18. ดำริและเสนอรัฐบาลให้จัดสร้างโรงละครขึ้นใหม่ในสมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ คือ โรงละครแห่งชาติในปัจจุบัน
19. กำหนดและวางโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติและโรงเรียนนาฏศิลป์ในจังหวัดสำคัญ อันเป็นที่รวมศิลปะของภาคนั้น ๆขึ้นไว้ 5 แห่งคือ จังหวัดเชียงใหม่ นครศรีธรรมราช สงคลา นครราชสีมา และขอนแก่น แต่เวลาและงบประมาณอีกทั้งบุคลากรไม่อำนวย จึงได้สร้างแต่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไว้ในจังหวัดเชียงใหม่และขอนแก่นเท่านั้น
20. ริเริ่มฟื้นฟูปรับปรุงแสดงนาฏศิลป์ไทยขึ้นหลายเรื่อง และหลายชุด รวมทั้งปรับปรุงระบำแบบฉบับของไทย สืบทอดการแสดงพื้นเมือง เช่น เต้นกำรำเคียว รำเหย่อย รำเถิดเทิง เซิ้งประติบข้าว
นอกจากนี้ยังได้ศึกษาวิจัยเครื่องแต่งกายตามสมัยประวัติศาสตร์และโบราณคดี และประดิษฐ์ขึ้นไว้ พร้อมทั้งประดิษฐ์ท่ารำขึ้นให้สอดคล้องกัน เรียกชุดระบำโบราณคดีมี 5 ชุด คือ ทวารวดี ศรีวิชัย ลพบุรี เชียงแสน สุโขทัย และจัดแสดงถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตร ณ บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2510 และ 4 มีนาคม พ.ศ. 2511
ผลงานด้านนิพนธ์
ส่วนงานด้านพิพนธ์นั้น นายธนิต อยู่โพธิ์ ได้แต่งแปล และเรียบเรียง ตรวจแก้และตรวจสอบชำระหนังสือเรื่องต่างๆ ขึ้นไว้ 200 เรื่อง โดยปกติเป็นเรื่องสารคดีทางประวัติศาสตร์โบราณคดี ศิลปะทางนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ เรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมและศาสนา ส่วนมากพิมพ์เผยแพร่แล้ว เช่น ประวัติเสียดินแดนสยาม 8 ครั้ง เรื่องทางโบราณคดี เช่น สุวรรณภูมิ พระพุทธรูปศิลาขาวสมัยทวารวดี ฯลฯ เรื่องทางวรรณคดี เช่น ประวัติและโคลงกำสรวลศรีปราชญ์ วรรณคดีกับชีวิตและการเมือง ฯลฯ เรื่องทางนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ เช่น โขน ศิลปะละครรำหรือคู่มือนาฏศิลป์ไทย ฯลฯ เรื่องทางศิลปะ เช่น ศิลปะและศีลธรรม ความหมายและจิตวิทยาเกี่ยวกับสี ฯลฯ เรื่องทางศาสนา เช่น ภาวะเศรษฐกิจสมัยพุทธกาล ตำนานเทศน์มหาชาติ ฯลฯ สำหรับเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมไม่ได้จัดพิมพ์เป็นเล่ม แต่ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมประเพณีของไทยให้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายทั่วโลก ท่านได้ร่วมกับเจ้าคุณพระยาอนุมานราชธนจัดทำหนังสือชุดวัฒนธรรมไทยขึ้นชุดหนึ่ง เรียกว่า Thai Culture Series ต่อมาได้จัดทำขึ้นใหม่ และเปลี่ยนชื่อว่า Thai Culture, New Series เป็นอนุสารอังกฤษว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณี และศิลปวัฒนธรรมของไทย โดยไม่ใช้งบประมาณของทางราชการและได้ส่งไปจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา และต่อมาได้พิจารณาเห็นว่าเป็นประโยชน์ส่วนรวมของชาติ จึงติดต่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณก็ได้รับอนุมัติและจัดงบประมาณค่าจัดพิมพ์และเผยแพร่ให้แก่กรมศิลปากรต่อมา นอกจากนั้นท่านยังมีผลงานอื่นๆอีก คือ
1. เมื่อดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร และเป็นผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยศิลปากรได้ฟื้นฟูปรับปรุงทั้งสถานที่และอาจารย์กับทั้งหลักสูตรให้ได้มาตรฐานตามระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยอื่นๆ กล่าวคือ ปรับปรุงสถานที่เรียนจากโรงไม้เป็นอาคารก่อตึก ปรับปรุงอาจารย์ซึ่งก่อนหน้านั้นมีฐานะเป็นลูกจ้างต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ ซึ่งเป็นข้าราชการประจำโดยเสนอพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศิลปากรฉบับใหม่ให้ยกฐานะเป็นข้าราชการสืบมาจนบัดนี้ ส่วนหลักสูตรมหาวิทยาลัยศิลปากรก็ปรับปรุงมาโดยลำดับ
2. ดำเนินการขอตั้งงบประมาณประจำ จัดให้มีการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติเป็นประจำปี
3. ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้นำคณะนาฏศิลป์ของกรมศิลปากร ไปแสดงเป็นการเจริญสันถวไมตรีในประเทศต่างๆ
4. ได้เดินทางไปประชุมสภาการพิพิธภัณฑ์ระหว่างชาติทั้งในแถบประเทศตะวันตกและตะวันออก ได้รับเชิญไปดูงานในประเทศต่างๆ และรัฐบาลเคยส่งไปดูงานในยุโรปหลายประเทศ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี เป็นต้น
5. ได้รับคำสั่งจากรัฐบาลสมัยต่างๆ ให้เป็นผู้ดำเนินการจัดการแสดงนาฏศิลป์ไทยถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงต้อนรับประมุขของประเทศต่างๆ และเจ้านายคนสำคัญ ตลอดทั้งพระราชอาคันตุกะอื่นๆอีกหลายท่านและหลายครั้ง
และเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2511 ได้เกษียณอายุราชการ ออกราชการรับพระราชทานบำนาญอยู่ในชีวิตราชการ 34 ปี 5 เดือน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น